สัปดาห์นี้ไม่มีอะไรที่น่าติดตามและตื่นเต้นไปกว่าการ
“ลุ้น” อีกเฮือกว่า กลุ่มพันธมิตรซีพีจะคว้าโครงการรถไฟความเร็วสูง 2 แสนล้านบาทเชื่อม 3 สนามบินอู่ตะเภา - สุวรรณภูมิ - ดอนเมืองสำเร็จหรือไม่ หลังคณะกรรมการตัดสิน ประชุมกันมาราธอนตั้งแต่เช้าจดคํ่าร่วม 9 ชั่วโมงเต็ม เมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว แต่ยังไม่จบคาดว่าภายในสัปดาห์นี้น่าจะสะเด็ดนํ้า
ประชุมครั้งที่แล้วเป็นการเปิดซองราคาที่แม้จะยาวนานแต่
“วรวุฒิ มาลา” แอกติ้งผู้ว่าการ ร.ฟ.ท.ก็ยังไม่กล้าประกาศเต็มปากเต็มคำว่า
“ซีพี” ชนะ เพราะยังมีรายละเอียด เงื่อนไข เรื่องผลประโยชน์ต่างๆ ที่ต้องตกลงกันอีกหลายประเด็น ซึ่งต้องเป็นเรื่องที่ทั้งเจ้าของโครงการและผู้รับสัมปทานทั้ง 2 ฝ่ายต่างยอมรับกันได้ เพราะเรื่องผลประโยชน์ไม่เข้าใครออกใครและรัฐบาลเองก็คงไม่อยากให้โครงการเกิดมาแล้วมีปัญหาหรือ เจอค่าโง่ ซึ่งตัวอย่างก็มีให้เห็นอยู่
การเสนอราคาตํ่ากว่าคู่แข่ง
“บีทีเอส” อย่างเดียวคงไม่ใช่ข้อมูลที่ครบถ้วนในการใช้ประกอบการตัดสินใจ เพราะโครงการนี้ถือว่าใหญ่มากและยังเป็น
“หัวใจ” หลักของการแจ้งเกิดโครงการ
“อีอีซี” ที่รัฐบาลคสช.ทุ่มสุดตัว แบไต๋ออกมาข้อเสนอของ
“ซีพี” ถือว่าเหนือชั้นกว่าคู่แข่งหลายด้านไม่ว่าจะเป็นวงเงินในอนาคต 10 ปี ตัวเลขห่างกัน 8.9 หมื่นล้านบาท การขอเม็ดเงินสนับสนุนจากรัฐไม่ถึง 1.19 แสนล้านบาท
เพราะ
“ซีพี” มีแหล่งเงินทุนทั้งในและนอกประเทศ จากรัฐบาลญี่ปุ่น จีน แถมยังมาเหนือเมฆ
“ใจปํ้า” ควักกระเป๋าจ่ายผลตอบแทนในการพัฒนา TOD มักกะสันและศรีราชา เชิงพาณิชย์ให้อีกหมื่นล้านบาท ในช่วง 10 ปีนอกเหนือจากค่าเช่า และที่ทำให้
“ซีพี” กล้าทุ่มขนาดนี้ก็เพราะมีที่ดินอยู่ร่วมหมื่นไร่รอพัฒนาตามแนวเส้นทางรถไฟ ซึ่งจะเพิ่มมูลค่าอีกมหาศาล เพราะเงื่อนไขในสัญญาเอกชนสามารถเลือกทำเลตั้งสถานีได้ ล้วนเป็นจุดได้เปรียบที่เหนือกว่าคู่แข่งทั้งสิ้น แต่ในเมื่อสงครามยังไม่จบก็อย่าเพิ่งนับศพทหาร รอลุ้นกันชัดๆ ภายในสัปดาห์นี้
นอกจากนี้ผลพวงจากรถไฟความเร็วสูงเส้นนี้ยังได้อานิสงส์ถึง รับเหมารายใหญ่ที่เป็นพันธมิตรกับ
“ซีพี” อย่าง ITD และ CK ที่คาดว่าจะแบ่งเค้กงานโยธามูลค่า 1.5 แสนล้านกันอย่างลงตัว และการก่อสร้างอื่นๆ รอบสถานีอีกเป็นหมื่นล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะทำกันไม่หวาดไม่ไหว และคาดว่าคงกระจายมาถึงมือผู้รับเหมารายย่อยให้ซับงานกันสนุกมือ
ไม่เพียงแค่นี้ 2 บิ๊กรับเหมายังมีชื่อติดอยู่ในโผที่เข้าไปซื้อซองประมูลงานช้างอีกหลายโครงการในอีอีซีไม่ว่าจะเป็น โครงการท่าเรือนํ้าลึก 2 แห่งทั้ง แหลมฉบัง-มาบตาพุดและโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาอีกเป็นแสนล้านบาท ซึ่งบิ๊กเมกะโปรเจ็กต์เหล่านี้จะเปิดให้ยื่นซองต้นปีนี้ทั้งหมดฟันธงปี 2562 คงจะเป็น
“ปีหมูทอง” ของผู้รับเหมาที่อู้ฟู่อีกปีและกินยาวไปอีกไม่ตํ่ากว่า 5 ปี เพราะโครงการเหล่านี้เขาต้องทำคลอดให้เสร็จก่อนเลือกตั้ง
[caption id="attachment_363867" align="aligncenter" width="335"]
[/caption]
นับถอยหลังเหลือไม่กี่วัน โรงแรมดุสิตธานีจะปิดบริการวันที่ 5 มกราคม ช่วงนี้เลยกระหนํ่าจัด อีเวนต์ถี่ยิบไม่ว่า จะเป็นการปิดโรงแรม
“อาฟเตอร์ปาร์ตี้” เลี้ยงกองประกวดมิสยูนิเวิร์ส 2 พันคน เมื่อคํ่าวันที่ 17 ธันวาคมมีดีเจ หมอลำ เซิ้งกันเต็มที่ ถัดมาวันที่ 20 ธันวาคมเป็น
“ปาร์ตี้” เลี้ยงขอบคุณ ลูกค้าผู้มีอุปการคุณ เอเยนต์ทัวร์ เป็นพันคน วันที่ 23 ธันวาคม เป็นงานเลี้ยงอำลาของคนทำงานศิษย์เก่า โรงแรมวันที่ 6 มกราคมหลังปิดตัว 1 วัน จะเป็นการจัดทัวร์หัวละ 500 บาท พาชมโรงแรมครั้งสุดท้าย ซึ่งมีประวัติศาสตร์น่าสนใจมากมาย ไม่ว่าจะเป็น
“เสาเอก” ห้องอาหารเบญจรงค์ ที่สร้างด้วยไม้สักทองทั้งห้อง ซึ่งจะต้องเก็บไว้อย่างดีเพื่อนำมาเปิดให้บริการอีกครั้งในอีก 3 ปีข้างหน้า
ทิ้งท้ายของขวัญปีใหม่ของนักท่องเที่ยวคนไทย
“ยุทธศักดิ์ สุภสร” ผู้ว่าการททท.เตรียมจะคลอดโครงการ ประกันภัยอุบัติเหตุแก่นักท่องเที่ยวคนไทยในช่วงปีใหม่ เพื่อกระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวช่วงเทศกาลวันหยุดยาวให้เดินทางท่องเที่ยวกันอย่างมีความสุข เงื่อนไขรายละเอียดอย่างไร ประกาศให้ทราบทั่วกันวันที่ 19 ธันวาคมนี้
| คอลัมน์ : ฐานโซไซตี
| โดย : พริกกะเหรี่ยง
| หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3428 หน้า 4 ระหว่างวันที่ 20-22 ธ.ค.2561