'เอ็นไอเอ' ชี้! ปี 62 ไทยต้องเป็นประเทศผู้คิดค้นเทคโนโลยีและนวัตกรรม

18 ธ.ค. 2561 | 07:20 น.
สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) เผยแนวทางการพัฒนาประเทศไทยในปี 2562 ประเทศไทยต้องเป็นกลุ่มประเทศผู้ผลิตและคิดค้นเทคโนโลยี เพื่อก้าวสู่การเป็นประเทศที่กำหนดอนาคตของโลก ทางออกสู่การหลุดพ้นกับดักประเทศรายได้ปานกลาง ชู 7 ระบบนวัตกรรมที่ไทยต้องเร่งยกระดับ

 

[caption id="attachment_362909" align="aligncenter" width="374"] ดร.พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ดร.พันธุ์อาจ ชัยรัตน์[/caption]

ดร.พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA เปิดเผยว่า NIA คาดการณ์ว่า นับจากนี้ไปความแตกต่างระหว่างระดับของเทคโนโลยีจะลดน้อยลงเรื่อย ๆ จะมีเพียงสาขาเทคโนโลยีที่แตกต่างกันเท่านั้น แม้ว่าอาจจะต้องใช้เวลาเล็กน้อย แต่ท้ายที่สุดแล้ว วิทยาการในสาขาต่าง ๆ ล้วนจำเป็นต้องนำเทคโนโลยีเข้ามาร่วมประยุกต์ทั้งสิ้น นอกจากนี้ ในอนาคตอันใกล้นี้ยังจะได้เห็นกลุ่มประเทศที่มีความเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี 3 ประเภท ได้แก่ 1.ประเทศที่เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี 2.ประเทศที่เป็นผู้ใช้เทคโนโลยี และ 3.ประเทศผู้ผลิตและคิดค้นเทคโนโลยี ซึ่งแน่นอนว่า อนาคตของโลกจะขึ้นอยู่กับประเทศในกลุ่มที่ 3 คือ ผู้คิดค้นเทคโนโลยีและนวัตกรรมนั่นเอง โดยแนวทางการพัฒนาประเทศไทยในปี 2562 ประเทศไทยต้องเป็นกลุ่มประเทศผู้ผลิตและคิดค้นเทคโนโลยี เพื่อก้าวสู่การเป็นประเทศที่กำหนดอนาคตของโลก ทางออกสู่การหลุดพ้นกับดักประเทศรายได้ปานกลาง

เส้นทางการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทย เริ่มต้นจากประเทศไทย 1.0 ซึ่งเป็นยุคแห่งเกษตรกรรม ประเทศไทย 2.0 เริ่มเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรมเบา ประเทศไทย 3.0 เริ่มพัฒนาเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรมหนัก ในขณะที่ โลกมีการแข่งขันที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ประเทศไทยต้องปรับตัว และทำให้ต้องเร่งก้าวเข้าสู่ยุคประเทศไทย 4.0 โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมมากขึ้น ทั้งนี้ นวัตกรรมอาจไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ที่จับต้องได้อย่างที่เคยมาอีกต่อไป แต่หมายรวมถึงผลิตภัณฑ์ที่จับต้องไม่ได้ด้วย แม้กระทั่งรูปแบบธุรกิจในประเทศไทยก็ยังมีการเปลี่ยนแปลง ไม่ได้มีเพียง SMEs และบริษัทขนาดใหญ่เท่านั้น แต่ยังมีวิสาหกิจเริ่มต้นหรือบริษัทสตาร์ทอัพที่เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจให้แก่ประเทศอีกด้วย

สำหรับการรับมือการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้น องค์กรหรือหน่วยธุรกิจต่าง ๆ ต้องสามารถคาดการณ์ความเปลี่ยนแปลงเพื่อระบุโอกาสในอนาคตได้ เพื่อนำไปสู่การกำหนดทิศทางการดำเนินงานให้สอดคล้องกับเป้าหมายองค์กร โดยอาศัยการจัดการกระบวนการนวัตกรรม การสร้างวัฒนธรรมนวัตกรรมภายในองค์กร และการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการทำนวัตกรรม รวมถึงการบริหารจัดการพอร์ตฟอลิโอด้านนวัตกรรม เพื่อให้การดำเนินงานเกิดผลสัมฤทธิ์ ทั้งยังจะสามารถช่วยให้มองเห็นโอกาสและความเป็นไปได้ของการพัฒนาเทคโนโลยีและโซลูชั่นที่จำเป็นต่อการขับเคลื่อนประเทศไทยเข้าสู่การเป็นไทยแลนด์ 4.0 โดยเฉพาะในเชิงพาณิชย์และการยกระดับคุณภาพชีวิต


โปรโมทแทรกอีบุ๊ก

ดร.พันธุ์อาจ กล่าวต่อว่า ภายใต้การดำเนินงานของ NIA นอกจากจะพยายามส่งเสริมให้เกิดผู้ประกอบการเทคโนโลยีรุ่นใหม่อย่างต่อเนื่องแล้ว ยังมองว่า มีประเด็นที่จะผลักดันระบบนวัตกรรม 7 ประการที่สำคัญเพื่อตอบเป้าหมายดังกล่าว ประกอบด้วย

• นวัตกรรมเพื่อสังคม (Social Innovation) ซึ่งเป็นการลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความยั่งยืนด้วยนวัตกรรม เช่น การศึกษา สาธารณสุข ภาวะการมีงานทำ ฯลฯ

• งานแห่งนวัตกรรม (Innovation Workforce) คือ การพัฒนาศักยภาพกำลังคน เพื่อตอบสนองงานด้านตลาดนวัตกรรม ซึ่งจะเกิดรูปแบบงานใหม่ ๆ ขึ้นอีกมากมาย

• สถาปัตยกรรมการเงิน (Financial Architecture) ระบบการเงินนวัตกรรมที่ครบวงจรและใช้งานได้จริง

• นวัตกรรมเชิงพื้นที่ (Area-Base Innovation) โดยในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา โลกได้เปลี่ยนแปลงจากการแข่งขันในระดับประเทศไปสู่ระดับภูมิภาค และในที่สุดในระดับเมือง มีการวัดระดับความเป็นนวัตกรรมในภูมิภาค และเมืองที่ดึงดูดนักนวัตกรรม หลายประเทศเริ่มออกแคมเปญดึงดูดนวัตกรในระดับเมือง มีการสร้างพื้นที่เชิงกายภาพให้ดึงดูดการใช้ชีวิตในเมือง และสร้างเป็นพื้นที่เพื่ออรรถประโยชน์ใหม่ ๆ

• ตลาดนวัตกรรมภาครัฐ (Government Market) โดยภาครัฐต้องเป็นผู้นำในการอุดหนุนผลิตภัณฑ์จากบริษัทที่พัฒนานวัตกรรมและนำมาใช้ในการบริการแก่สาธารณะ

• นวัตกรรมที่จำเป็นต่อการพัฒนาประเทศ (Mandatory Innovation) เป็นการพัฒนาให้เกิดนวัตกรรมเพื่อแก้ไขปัญหาสังคมที่มีมายาวนาน เช่น ปัญหาในภาคเกษตรกรรม ความแห้งแล้ง ภัยพิบัติต่าง ๆ

• การสร้างนวัตกรและวิสาหกิจฐานนวัตกรรม (Innopreneurship & IDE) ซึ่งเป็นการสร้างผู้นำทางธุรกิจและกิจการที่เติบโตด้วยนวัตกรรมให้มีความเข้มแข็ง

ดร.พันธุ์อาจ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในการพัฒนาประเทศไทยเพื่อยกระดับนวัตกรรมนั้น การมีพันธมิตรที่มีศักยภาพถือเป็นอีกเรื่องที่มีความสำคัญ ซึ่งในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ NIA ได้มีโครงการความร่วมมือกับหลายประเทศ รวมถึงประเทศที่มีความก้าวล้ำทางเทคโนโลยีและสตาร์ทอัพอย่างอิสราเอล ที่ได้รับการยอมรับในระดับโลกว่าเป็น INNOVATION NATION หรือ ชาติแห่งนวัตกรรม เนื่องจากมีการพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูง โดยเฉพาะที่มาจากความท้าทายจากวิกฤตการณ์รอบด้านที่อิสราเอลต้องเผชิญ โดย NIA ได้มีการลงนามความร่วมมือกับ Israel Innovation Authority เมื่อช่วงกลางปี 2561 ที่ผ่านมา และได้มีการทำโครงการบ่มเพาะสตาร์ทอัพร่วมกับบริษัทอิสราเอลเพื่อพัฒนาสตาร์ทอัพไทย ซึ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการได้ทำงานร่วมกันและได้เห็นกระบวนการคิดของอิสราเอลผ่านโครงการความร่วมมือต่าง ๆ นี้ จะช่วยพัฒนาและเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์นวัตกรรมของไทยให้พร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกได้เช่นเดียวกัน

 

[caption id="attachment_362480" align="aligncenter" width="335"]  เพิ่มเพื่อน [/caption]