"เจดี เซ็นทรัล" ผงาดอี-คอมเมิร์ซ! คาด 5 ปี ดันสินค้าไทยไปจีนกว่าแสนล้าน

19 ธ.ค. 2561 | 12:30 น.
"เจดี เซ็นทรัล" จับมือพันธมิตรภาครัฐ-เอกชน ดันผู้ประกอบการไทยสู่สากล คาด 5 ปี มีมูลค่าส่งออกสินค้าไทยไปจีนกว่า 1 แสนล้านบาท โดยมีสินค้าเกษตรเป็นหัวหอกหลัก เผย ยอดออร์เดอร์พุ่งสูงกว่าอี-คอมเมิร์ซทั่วไปเท่าตัว พร้อมทุ่มงบ 2,000-3,000 ล้านบาท ลงทุนแวร์เฮาส์ ไอที โลจิสติกส์เพิ่ม

นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานคณะกรรมการ บริษัท เซ็นทรัล เจดี คอมเมิร์ซ จำกัด เปิดเผยว่า เจดี เซ็นทรัล เล็งเห็นศักยภาพและการเติบโตของตลาดอี-คอมเมิร์ซในประเทศไทย จึงได้ร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและสถานศึกษาต่าง ๆ เพื่อลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะสนับสนุนและผลักดันเศรษฐกิจไทยควบคู่ไปกับการขับเคลื่อนการเติบโตของอี-คอมเมิร์ซอย่างต่อเนื่องในปัจจุบันให้ก้าวขึ้นไปอยู่บนเวทีโลก

 

[caption id="attachment_362847" align="aligncenter" width="503"] ญนน์ โภคทรัพย์ ญนน์ โภคทรัพย์[/caption]

ล่าสุด บริษัทได้บันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) 3 ฉบับ ระหว่าง เจดี เซ็นทรัล ร่วมกับ JD.com กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ สังกัดกระทรวงพาณิชย์ (DITP) และสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (depa) และมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย (UTCC) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของ SMEs ไทย ส่งออกสินค้าไทยสู่สากล ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา บริษัทได้ส่งเสริมสินค้าไทยส่งออกโดยผ่าน JD.com มูลค่ากว่า 2-3 หมื่นล้านบาทแล้ว ขณะที่ ภายในระยะเวลา 5 ปีข้างหน้า บริษัทคาดการณ์ว่าจะสามารถผลักดันมูลค่าการส่งออกสินค้าไทยดังกล่าวสู่ 1 แสนล้านบาท

ขณะเดียวกัน บริษัทได้เปิดร้านค้าแฟล็กชิพสโตร์ บนแพลตฟอร์ม เจดีดอทคอม เพื่อทำการจำหน่ายและส่งออกสินค้าไทยไปสู่ประเทศจีน และยังได้นำเสนอไอทีโซลูชัน ที่ลํ้าหน้าด้วยเทคโนโลยีในเรื่องของโลจิสติกส์ และห่วงโซ่อุปทานให้แก่หน่วยงานภาครัฐ อันเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างระบบสาธารณูปโภค นอกจากนี้ ยังรวมถึงการเพิ่มทักษะทางด้านดิจิตอลให้กับบุคลากรและนักศึกษาไทยเพื่อสร้างการพัฒนาบุคลากรแบบยั่งยืน และเติมเต็มระบบนิเวศของวงการอี-คอมเมิร์ซในประเทศไทยให้สมบูรณ์


_W1_3846

"จากการทดลองเปิดอี-คอมเมิร์ซในช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมา ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค โดยวัดจากการสั่งซื้อสินค้าของผู้บริโภคที่เข้ามาซื้อ โดยหน่วยการวัดของธุรกิจอี-คอมเมิร์ซค่าเฉลี่ยปกติลูกค้าที่เข้ามาแวะชมสินค้าในเว็บไซต์จะมีสัดส่วนเฉลี่ย 1-2% ขณะที่  JD.com มีสัดส่วนลูกค้าที่เข้ามาสั่งซื้อกว่า 3-4% ของจำนวนลูกค้า 100 คน ขณะเดียวกัน สินค้าไทยที่ได้รับผลตอบรับที่ดีจากลูกค้าชาวจีน ได้แก่ สินค้าเกษตร เช่น ทุเรียน มะม่วง ลำไย เป็นต้น"

ทั้งนี้ บริษัทวางแผนที่จะใช้งบลงทุน 2,000-3,000 ล้านบาท สำหรับการลงทุนด้านคลังสินค้า เทคโนโลยี และโลจิสติกส์ ภายใน 2-3 ปีนี้ โดยตั้งเป้าหมายที่จะมีคลังสินค้ารวม 5 แห่ง ในภูมิภาคต่าง ๆ และล่าสุด ได้เปิดคลังสินค้าที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลไปแล้ว 3 แห่ง และมีแผนจะเปิดอีก 2 แห่ง ได้แก่ สุราษฎร์ธานีและเชียงใหม่ ภายในสิ้นปีนี้

 

[caption id="attachment_363638" align="aligncenter" width="335"] นางครีสทีน หว่อง คริสทีน หว่อง[/caption]

ด้าน นางคริสทีน หว่อง รองกรรมการบริหารฝ่ายรัฐสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เจดีกรุ๊ป กล่าวว่า บริษัทเชื่อว่าการร่วมมือกับ DITP depa และเจดี เซ็นทรัล จะสามารถพัฒนาผู้บริโภคและผู้ประกอบการในประเทศไทยได้เฉกเช่นเดียวกันกับประเทศจีน พร้อมกันนี้ ยังเป็นการผลักดันอุตสาหกรรมไทยสู่นโยบาย Thailand 4.0 อย่างเต็มตัว และยังช่วยให้ผู้ประกอบการไทยจำหน่ายสินค้าคุณภาพให้กับผู้บริโภคต่างประเทศ เป็นอีกช่องทางที่ช่วยผู้ประกอบการ SMEs ให้มีรายได้เพิ่มขึ้นอีกทาง

 

[caption id="attachment_362480" align="aligncenter" width="335"]  เพิ่มเพื่อน [/caption]

"ความแตกต่างของ JD และอี-คอมเมิร์ซรายอื่น ๆ คือ การการันตีสินค้าที่นำมาขายคือของดีและของแท้ ขณะเดียวกัน สามารถเปลี่ยนสินค้าได้ภายใน 15 วัน อีกทั้งการร่วมมือครั้งนี้เชื่อว่าผู้ประกอบการไทยจะสามารถเข้าถึงตลาดจีนผ่านแพลตฟอร์มของ JD ได้อย่างง่ายดาย รวมถึงรับการฝึกอบรมเฉพาะด้าน ศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผู้บริโภค และการชำระเงินแบบดิจิตอลและการขนส่งสินค้า ยกตัวอย่างเช่น การจับคู่ทางธุรกิจระหว่างผู้ขายและผู้ซื้อ หรือแม้แต่การจัดโปรโมชันต่าง ๆ ให้กับผู้บริโภคชาวจีนบน JD.com เพื่อเพิ่มยอดขายสินค้าไทยในตลาดจีน"

หน้า 34 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ | ฉบับ 3,428 ระหว่างวันที่ 20-22 ธันวาคม 2561

ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว