“ฐานเศรษฐกิจ” นำบางส่วนของการตอบคำถามบนเวทีเเสดงวิสัยทัศน์ในหัวข้อ “อนาคตหลังการเลือกตั้ง 2562” ของ 4 พรรคการเมือง ประกอบด้วย นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายโภคิน พลกุล แกนนำพรรคเพื่อไทย และนายสรอรรถ กลิ่นประทุม ประธานที่ปรึกษาพรรคภูมิใจไทย จัดโดย เนชั่น ทีวี ที่ไบเทค บางนา
หนึ่งในคำถามที่น่าสนใจ คือ ทำไมคนไทยต้องเลือกพรรคต่างๆเหล่านี้...
เริ่มที่
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า เหตุผลแรก คือ เหตุผลทางเศรษฐกิจเพราะขณะนี้ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศเดือดร้อนอย่างมาก เห็นได้ชัดจากภาวะทางเศรษฐกิจเฉพาะหน้าโดยเฉพาะเกษตรกร ประชาชนในชนบท ผู้ประกอบการทั้งขนาดกลางและขนาดเล็กที่มีปัญหาเรื่องภาวะเศรษฐกิจทั้งสิ้น นอกจากนี้โครงการสร้างเศรษฐกิจของไทยต้องมีการปรับเปลี่ยนเพื่อรับกับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น หลุดพ้นจากกับดักความเป็นเศรษฐกิจหรือประเทศที่อยู่ในระดับรายได้ปานกลาง ที่สำคัญ คือปัญหาความเหลื่อมล้ำ 3 ปัจจัยที่เป็นปัญหาทางเศรษฐกิจ ซึ่งทางพรรคประชาธิปัตย์มีนโยบายที่จะแก้ทั้ง 3 เรื่องนี้แบบเป็นระบบ อย่างยืนและมองว่า ทุกอย่างผูกพันกัน ต้องแก้ในเชิงโครงสร้างที่ต้องแก้อย่างยั่งยืน จีดีพีไม่ใช่ตัวชี้วัดที่ดีอีกต่อไปแล้ว ซึ่งทางพรรคเตรียมเอาไว้แล้วว่า จะมีวิธีการวัดคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างไร
เหตุผลที่ 2 คือ เรื่องของการเมือง วันนี้เชื่อว่าประชาชนมองเห็นว่า การเมืองที่ขาดความเป็นประชาธิปไตย หรือขาดสิทธิเสรีภาพในที่สุดแล้วจะมีความสามารถในการตอบสนองความต้องการของประชาชน ดังเช่น กรณีของบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่ต้องการจะช่วยเหลือคนจนแต่กลับห้ามที่จะซื้อของจากคนจนด้วยกัน ดังนั้น การมีพรรคการเมืองที่เข้าใจเงื่อนไขเหล่านี้เป็นเรื่องสำคัญ ขณะเดียวกันก็ทราบว่า การเมืองที่เป็นประชาธิปไตยแต่ขาดธรรมาภิบาล มีการทุจริตคอร์รัปชั่นก็จะเดินกลับไปสู่หนทางเดิม คือการไม่ยอมรับ เกิดความขัดแย้ง สุดท้ายก็สุ่มเสี่ยงต่อความรุนแรง ถ้าไม่มีรัฐบาลที่ยึดถือเรื่องนี้ ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ประกาศเป็นอุดมการณ์มาตลอด 70 ปี ว่าทำการเมืองด้วยวิถีบริสุทธิ์ ด้วยความซื่อสัตย์ ถ้าไม่มีเรื่องนี้ความสุ่มเสี่ยงที่บ้านเมืองจะกลับมาอีกครั้งก็มีมาก
เหตุผลที่ 3 เป็นพรรคที่ให้ความสำคัญกับการลงทุนเรื่องของคน นโยบายทางด้านสังคมที่ประกาศออกมาแล้ว 10 ข้อ นโยบายการศึกษาจะเป็นนโยบายการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดสำหรับอนาคตในระยะยาว รวมถึงให้ความสำคัญเรื่องของสาธารณะสุขและกลุ่มคนที่ต้องการความช่วยเหลือพิเศษ และกลุ่มคนชายขอบ เป็นต้น
นายสรอรรถ กลิ่นประทุม พรรคภูมิใจไทย ระบุว่า คงไม่จำเป็นต้องตอบ ประเด็นคือ จะทำอย่างไรให้ประชาชนเลือกพรรคภูมิไทยใจ เพราะการเลือกตั้งคงไปบังคับกันไม่ได้ การเลือกตั้งเป็นการขายนโยบายให้ ให้ประชาชนได้เกิดความศรัทธาว่า พรรคสามารถที่จะตอบสนองความต้องการของประชาชนได้ ซึ่งภูมิใจไทยมีอะไรหลายอย่างอยู่ในตัวที่ดี แต่ประชาชนอาจจะยังไม่ค่อยรู้จักแม้ว่าพรรคจะตั้งมาย่างเข้าปีที่ 11 แล้ว จนหลายคนตั้งข้อสังเกตว่า ส่งนักการเมืองเฉพาะในเขตต่างจังหวัดเท่านั้น
อย่างไรก็ดี จุดขายของพรรคซึ่งพูดมาตลอดคือ การมีหัวหน้าพรรคเป็นบุคคลที่มีประสบการณ์ มีวุฒิภาวะ แม้ว่าอายุยังน้อย แต่ผ่านประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจมาอย่างโชกโชน จากที่ต้องล้มละลายจนกลายเป็นบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์และมีความมั่นคง ซึ่งเป็นตัวชูโรงได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้การทำงานหลายอย่างไม่ใช่การประชาสัมพันธ์การทำงานทางการเมือง อาทิ การบินไปรับบริจาคอวัยวะของผู้ป่วยแล้วส่งต่อให้กับโรงพยาบาล เป็นสิ่งที่ทำมาโดยตลอด
ประการที่สอง คือ ทางพรรคมีคณะกรรมการที่ดูแลกำหนดนโยบาย ซึ่งวันนี้ยังพูดไม่ได้ ต้องรอความเห็นชอบจากกกต.เสียก่อน แต่สิ่งที่ทำ คือ มีคณะกรรมการเพื่อเตรียมการในการจัดทำนโยบายพรรค โดยให้ความสำคัญ อาทิ การแก้ไขปัญหาผลิตผลทางการเกษตรตกต่ำโดยต้องทำให้ต้นทุนทางการผลิตทางการเกษตรลดลงซึ่งทางพรรคมีนักวิจัยทำเรื่องนี้โดยเฉพาะ มีนักวิจัยในพรรคที่จดสิทธิบัตรกว่า 80 สิทธิบัตร แต่ยังไม่ได้ดำเนินการให้เป็นรูปธรรมแต่หลังจากมีประกาศให้ทำได้จะได้ดำเนินการ ขณะที่สมาชิกพรรคทุกคนมีความตั้งใจทางการเมือง เมื่อปี 2552 เหลืออยู่ประมาณ 30 คนซึ่งวันนี้ก็ยังอยู่และมีมากขึ้นแสดงว่า พรรคได้สร้างศรัทธาให้กับประชาชน นอกจากนี้ทางพรรคกำลังจะเสนอแนวทางใหม่จากที่เห็นว่าเป็นพรรคบ้านนอก วันนี้จะส่งลงสมัครครบทั้ง 30 เขตในกทม. และหวังที่จะปักธงในกทม.ด้วย
นายอุตตม สาวนายน ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า ประการแรก คือ พลังประชารัฐไม่มีประวัติให้แต่สิ่งที่ทางพรรคมี คือ พลังร่วมของคนจากหลายภาคส่วนมาอยู่ร่วมกันในพรรค ทั้งคนยุคเก่าที่มีประสบการณ์มาก มีคนร่วมสมัยที่มีความคิดความอ่าน และคนรุ่นใหม่ที่มีความตั้งใจและความสร้างสรรค์ ซึ่งเป็นพื้นฐานของพรรคพลังประชารัฐที่จะทำงานให้กับประชาชนคนไทย ถัดมา คือ มีนโยบายที่ตอบโจทย์ประเทศไทย วันนี้ต้องถามคนไทยว่า ต้องการก้าวข้ามความขัดแย้งหรือไม่ คงไม่มีใครต้องการกลับไปเหมือนเดิม แต่คงไม่พอ เมื่อก้าวข้ามและสงบแล้ว มีเสถียรภาพแล้วจะเดินต่ออย่างไร วันนี้โลกเปลี่ยนแบบรุนแรง ประเทศไทยพร้อมหรือไม่ หากเดินต่อไปอย่าง 10 ปีทีผ่านมาจะเดินต่อได้หรือไม่ เดินได้ แต่มีพลังและแก้ปัญหาสะสมได้หรือไม่ ถ้าอ่อนแรงในขณะที่โลกเปลี่ยน เราคงแก้ไม่ได้ พรรคบอกแก้ไม่ได้ จึงเสนอตัวว่า เรามีนโยบายที่แก้ไขปัญหาสะสม สอง นำพาประเทศไปในโลกยุคใหม่ มองแบบยึดโยง ปล่อยนโยบายทั้งแผง อยู่บน 4 เสาหลัก คือ “สร้าง-เสริม-ปรับ-เปลี่ยน”
“สร้างหลักประกันทางสังคม” วันนี้คนไทยต้องไม่ห่วงหน้าพะวงหลัง บัตรสวัสดิการแห่งรัฐต้องดีอย่างครอบคลุม สำหรับวันนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้น เมื่อเริ่มแล้วก็ปรับเปลี่ยนได้เสมอ จะไม่ได้มีแค่คนที่มีรายได้น้อย คนไทยมีมากกว่านั้นต่อไปต้องมีความครอบคลุม เช่น สตรี ผู้ใช้แรงงาน และสวัสดิการสำหรับคนที่เกษียณแล้ว เป็นต้น
“เสริมความแข็งแกร่งของประเทศ” ตั้งแต่ฐานราก ด้วยการกระจายความเจริญสู่ภูมิภาค
“ปรับเศรษฐกิจ” ที่สามารถแข่งขันในเวทีโลกได้แล้วนำมาซึ่งความสุขให้กับคนไทยได้อย่างครอบคลุมและทั่วถึงอย่างยั่งยืน
“เปลี่ยนการบริหารจัดการของภาครัฐให้ทำเพื่อประชาชน” ประชาชนเป็นศูนย์กลาง ไม่ไช่อำนาจอยู่ที่พรรคการเมือง เข้ามาแล้วพรรคการเมืองเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลงเพื่อประชาชนไม่ใช่เพื่อตัวเอง อย่างไรก็ดี ความเห็นแตกต่างกันได้เรื่องนโยบายแต่สุดท้ายความแตกต่างนั้นต้องไม่นำไปสู่ความแตกแยก ประเทศต้องเดินหน้าไปได้ ต้องไม่ติดกับกลับไปเหมือนเดิม
นายโภคิน พลกุล แกนนำพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า เรื่องเศรษฐกิจมีความเห็นตรงกับหลายพรรคที่วันนี้ประชาชนลำบากมาก ซึ่งพรรคเพื่อไทยมีความสามารถทางเศรษฐกิจซึ่งที่ผ่านมา 10 ปีประชาชนได้เห็นและจำได้ วันนี้ประชาชนวัดจากการล้วงกระเป๋าแล้วไม่มีตังก์ รัฐบาลให้แต่เงิน ต้องให้โอกาส และให้พลังที่จะทำงานต่อไปด้วย นี่คือหัวใจสำคัญ เช่น เรื่องข้าว ที่วันนี้ผู้ขาย หรือ ผู้ผลิตไม่ใช่ผู้ที่กำหนดราคา จะกลับวงจรให้ผู้ขายเป็นผู้กำหนดราคาได้ ต้องให้รวมตัวกันได้ ใช้เทคโนโลยีให้ผู้ซื้อผู้ขายมาเจอกัน ตัดคนกลางจะหมดไป นี่จะทำให้มีพลังและอำนาจต่อรอง อีกเรื่องที่ยังกังวล คือ เศรษฐกิจฐานรากยังไม่หมุน ที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทยจะให้ความสำคัญในการหมุนฐานราก กลาง ล่าง และบน ต้องหมุน 4 ปีกว่า ฐานรากยังไม่หมุนเลย วันนี้จึงต้องเอาเงินไปให้ ถ้าเลือกเพื่อไทยจะทำให้ฐานรากหมุน กลาง และบนหมุน
ประการที่ 2 คือ กระจายอำนาจลงพื้นที่ สุดท้ายที่ต้องแก้ไข คือ แก้ไขรัฐราชการให้เป็นรัฐของประชาชน เช่น วันนี้ประชาชนติดขัดในข้อระเบียบต่างๆต้องแก้ไข สำหรับเรื่องของความขัดแย้งมองว่า ประชาชนได้บทเรียนมาแล้วเราต้องช่วยกันลดทิฐิและไม่มีอคติต่างๆออกไป รวมถึงองค์กรศาลที่ต้องไม่มีอคติ เชื่อว่า จะมีความเมตตาปรารถนาดีต่อไปกันและปัญหานี้จะไม่เกิด