AI ตัวการก่อสงครามโลกครั้งที่ 3 ???

12 ธ.ค. 2561 | 10:17 น.
121161-1647

[caption id="attachment_360412" align="aligncenter" width="335"] พันเอก ดร.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ พันเอก ดร.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ[/caption]

| บทความพิเศษ : AI ตัวการก่อสงครามโลกครั้งที่ 3 ???

| โดย พันเอก ดร.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ


……………….

ประเทศสหรัฐอเมริกา จีน และรัสเซีย ได้ประกาศอย่างชัดเจนว่า จะเป็นผู้นำด้านปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "ประเทศจีน" ได้มีความชัดเจนว่า AI เป็นยุทธศาสตร์ของประเทศ ซึ่งจีนมีเป้าหมายว่าจะเป็นหนึ่งในด้าน AI ของโลก ภายในปี 2030

ประเทศจีนมีความชัดเจนในการลงทุนอย่างมหาศาลใน "อุตสาหกรรมไมโครชิพ" (Microchip) ซึ่งจีนได้มีความพยายามในทุก ๆ ด้าน เพื่อให้บริษัท Huawei เป็นบริษัทผลิต AI Chip เอาชนะบริษัท Intel และ Qualcomm ของประเทศสหรัฐอเมริกาให้ได้

 

[caption id="attachment_360413" align="aligncenter" width="503"] ©Thomas1311 ©Thomas1311[/caption]

จาก 2017 Harvard University report ได้ระบุว่า ประเทศรัสเซีย โดยประธานาธิบดีปูติน ได้มีทิศทางที่ชัดเจนว่า จะพัฒนาอุตสาหกรรมเทคโนโลยีทางทหาร โดยมุ่งไปยัง AI เพื่อให้เทคโนโลยีทางทหารมีความชาญฉลาดและมีความทันสมัยที่สุดในโลก

เมื่อเดือน มี.ค. 2018 ที่ผ่านมา มีการโต้แย้งและไม่เห็นด้วยจากนักวิจัย 30 ประเทศ ว่า สถาบันอุดมศึกษาของประเทศเกาหลีใต้ ที่มีชื่อว่า KAIST ได้มีความพยายามจะพัฒนา AI ประยุกต์ใช้ในเทคโนโลยีด้านการทหาร เพื่อทำให้เกิดอาวุธที่ทำงานแบบอัตโนมัติ เพื่อมาทำลายล้างข้าศึกฝ่ายตรงข้าม จนทำให้หลังจากนั้นสถาบันดังกล่าวได้ออกมาปฏิเสธ แต่ยังยืนยันว่าจะทำวิจัยด้าน AI เพื่อประยุกต์ใช้ในด้านการทหารต่อไป

รัฐบาลเกาหลีใต้ได้มีแผนที่จะเปิดสาขาเฉพาะในด้าน AI จำนวน 6 แห่ง ในมหาวิทยาลัย โดยมีเป้าหมายที่จะผลิตวิศวกรด้าน AI ให้ได้อย่างน้อย 5,000 คน ภายในปี 2020

121161-1655
มีการคาดว่า ภายในปี 2022 บริษัท Huawei จะทำยอดขายสมาร์ทโฟนแซงหน้าบริษัท Samsung และมีแนวโน้มด้วยว่าจะแซงหน้ายอดขายอุปกรณ์หลายชนิดของบริษัท Apple ในอนาคต และยังมีการวิเคราะห์อีกว่า บริษัท Huawei อาจจะมีอิทธิพลในระดับโลกในยุค 5G แซงหน้าบริษัทของสหรัฐอเมริกา เช่น Facebook และ Google อีกด้วย

ในปัจจุบันนี้ บริษัท Huawei ถือว่าเป็นผู้ผลิตสมาร์ทโฟนเป็นอันดับ 2 ของโลก ซึ่งตามหลังบริษัท Samsung เพียงบริษัทเดียว และ Huawei ยังถูกติดตามและเฝ้าสังเกตอย่างใกล้ชิดจากทางการของประเทศสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้ เนื่องจากบริษัท Huawei ได้ทุ่มทุนอย่างมหาศาลในการวิจัยด้าน AI ซึ่งถือได้ว่าเป็นภัยต่อประเทศสหรัฐอเมริกาทางด้านเทคโนโลยีชั้นสูงอย่างยิ่ง จึงทำให้ประเทศสหรัฐอเมริกาพยายามทำการตอบโต้ด้วยสงครามทางการค้าอย่างชัดเจนในวันนี้

บริษัทชั้นนำของประเทศสหรัฐอเมริกา ไม่ว่าจะเป็น Google, Microsoft, IBM และ Apple ได้มีการลงทุนอย่างมหาศาลในการวิจัยและพัฒนาด้าน AI จนเป็นที่ยอมรับว่า บริษัทเหล่านี้เป็นบริษัทชั้นนำของโลกในด้าน AI แต่อย่างไรก็ตาม มีหลักฐานและสิ่งบ่งชี้หลายอย่างได้เห็นอย่างชัดเจนว่า ประเทศจีนกำลังมีการลงทุนในการวิจัยและพัฒนาด้าน AI ตามติดอย่างรดต้นคอในบริษัทต่าง ๆ เช่น Alibaba, Tencent และ Baidu เป็นต้น จนมีแนวโน้มว่า ประเทศจีนอาจจะแซงหน้าประเทศสหรัฐอเมริกาในด้าน AI ภายในปี 2030 ด้วยการลงทุน AI ที่เกี่ยวข้องกับไมโครชิพทางด้านการสื่อสารและเทคโนโลยีรถไฟฟ้า ด้วยจำนวนเงินถึง 300 พันล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ

 

[caption id="attachment_360416" align="aligncenter" width="503"] ©Computerizer ©Computerizer[/caption]

จากการกำหนดวิสัยทัศน์ 2030 Vision ของรัฐบาลเมืองเทียนจิน ซึ่งเป็นเมืองที่ห่างจากปักกิ่งด้วยการขับรถประมาณ 2 ชั่วโมง ได้มีการลงทุนในการสร้างเมืองที่พัฒนาด้าน AI ด้วยมูลค่าถึง 5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ และยิ่งไปกว่านั้น ในส่วนของสตาร์ทอัพ จีนได้มีการลงทุนในบริษัทสตาร์ทอัพด้าน AI ถึง 200 บริษัท ในช่วงปี 2012 ถึง 2017 ด้วยจำนวนเงินถึง 4.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ

เป้าหมายของประเทศจีนที่ต้องการสนับสนุนส่งเสริมอุตสากรรมด้าน AI ถึง 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในปี 2030 โดยรัฐบาลจีนได้ส่งเสริมบริษัทสตาร์ทอัพด้าน AI ที่ชื่อว่า SenseTime ด้วยการระดมทุนถึง 600 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ด้วยการร่วมมือกับ บริษัท Alibaba ซึ่งถือว่าเป็นการลงทุนในด้าน AI ที่สูงที่สุดในโลกตั้งแต่ที่เคยเกิดขึ้น

แต่กลับตรงกันข้ามในประเทศสหรัฐอเมริกา ที่กำลังประสบปัญหากับนโยบายด้านการสนับสนุนทุนการทำวิจัยในรัฐบาลของ Trump ซึ่ง The American Association for the Advancement of Science ได้รายงานว่า แผนการที่รัฐบาลได้ลดการสนับสนุนทุนการวิจัยลง 15% ในปี 2018 และยิ่งไปกว่านั้น ยังไม่สนับสนุนที่จะนำแรงงานที่ขาดแคลนที่เป็นคนต่างชาติเข้ามาในประเทศ จึงยิ่งทำให้ปัญหาการขาดแคนแรงงานทักษะชั้นสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านนวัตกรรม AI จึงประสบความขาดแคนอย่างรุนแรง จนอาจทำให้ Silicon Valley ไม่สามารถที่จะรั้งตำแหน่งอันดับหนึ่งในด้าน AI ได้อีกต่อไป

China flag, vector illustration
สิ่งบ่งชี้ที่ชัดเจนที่ได้เปิดเผยโดยเอกสารของทำเนียบขาว National Artificial Intelligence Research and Development Strategic Plan in AI เห็นว่า ประเทศจีนกำลังแซงหน้าประเทศสหรัฐอเมริกาในด้าน "Deep Learning" ไปแล้ว

ปรากฎการณ์ความก้าวหน้าของ AI ที่เริ่มคืบคลานเข้ามาสู่การผลิตอาวุธที่ทำงานแบบอัตโนมัติ (Lethal Autonomous Weapons) อาจจะเป็นต้นเหตุของสงครามโลกครั้งที่ 3 ตามที่ Elon Musk ได้เคยกล่าวไว้ และไม่เว้นประธานาธิบดีปูตินแห่งประเทศรัสเซียได้เคยกล่าวไว้ว่า AI คือ อนาคตไม่เพียงแต่เป็นอนาคตของรัสเซียแต่เป็นอนาคตของมวลมนุษยชาติซึ่งมันมาพร้อมกับโอกาสและภัยคุกคามที่ยากที่จะคาดการณ์ ซึ่งใครก็ตามที่เป็นผู้นำทางด้าน AI ก็จะกลายเป็นผู้ที่คุมกฎของโลกนี้นั่นเอง


……………….


โปรโมทแทรกอีบุ๊ก