บริหารความสัมพันธ์ ธุรกิจไทย-จีน
กล่าวสำหรับจีนไม่เฉพาะภาคตะวันออกเท่านั้นที่เคลื่อนไหวอย่างคึกคัก แต่นักธุรกิจจีนกระทั่งนักท่องเที่ยวกระจายเต็มพื้นที่ในไทยมานานแล้วทั้งภูเก็ต เชียงใหม่ กระทั่งในกทม.บางโซนอย่างเขตห้วยขวางก็เต็มไปด้วยผู้ประกอบการชาวจีน ที่เป็นรายเล็กรายน้อยเข้ามาแสวงหาโอกาสและลู่ทางการทำมาหากินในประเทศไทย
ผู้ประกอบการที่พอมีกำลังหรือทุนทรัพย์มากขึ้น ได้ขยับไปลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมในเขตแนวรถไฟฟ้า เป็นที่ต้องการของนักลงทุนจีนทั้งในแง่ซื้อคอนโดฯ สร้างเสร็จแล้วปล่อยเช่าเก็งกำไร บางรายซื้อเพื่อที่อยู่อาศัยให้บุตร-หลานที่ส่งมาเรียนโรงเรียนนานาชาติในกรุงเทพฯ ซึ่งค่าเล่าเรียนถูกกว่าในจีน 4 เท่า ขณะที่นักธุรกิจที่มีทุนใหญ่ต้องการโยกเงินออกมาลงทุนต่างประเทศ ได้แสวงหาผู้ร่วมทุนไทยในการพัฒนาโครงการของตนเองขึ้นมา
[caption id="attachment_360258" align="aligncenter" width="335"]
เว็บไซต์เพื่อการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศของจีนรายงานช่วงครึ่งแรกของปี 2561 มียอดสอบถามและแจ้งความสนใจที่จะซื้อหาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย สูงเกินจากยอดของปี 2560 ทั้งปี โดยไทยไต่อันดับจากที่ 3 ในปี 2560 มาเป็นที่ 1 ในปีนี้ ในฐานะประเทศที่ผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ของจีนให้ความสนใจมากที่สุด นับจากปี 2560 เป็นต้น มามีความสนใจซื้ออสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยคิดเป็นมูลค่ารวมถึง 962.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือกว่า 31,752 ล้านบาท
หากนับรวมการเข้ามาของจีนก่อนหน้านี้ ทั้งในด้านการรวบรวมผลไม้(ล้ง)พื้นที่ภาคตะวันออกและภาคใต้บางจังหวัด รวมไปถึงนักท่องเที่ยว เรียกได้ว่าชาวจีนเต็มทุกพื้นที่ แน่นอนไม่มีใครปฏิเสธจีนในทุกระดับทั้งในแง่บุคคลและธุรกิจ เฉพาะด้านบุคคลนั้นไทยกับจีนมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นมายาวนาน แต่การปฏิสัมพันธ์กับจีนนั้นต้องยึดโยงภายใต้กติกาและกรอบกฎหมายไทย ภาครัฐผู้บังคับใช้กฎหมายเองกระทั่งคู่ธุรกิจ ต้องมีความตรงไป ตรงมา โดยไม่พยายามหาช่องหลบเลี่ยง ไม่มีใครปฏิเสธจีน เพียงแต่การก้าวเดินไปด้วยกันอย่างมหามิตร ต้องให้เกิด WIN-WIN ทั้ง 2 ฝ่าย
| บทบรรณาธิการ หนังสือพิมพ์ฐานเศรษกิจ ฉบับ 3426 หน้า 6 ระหว่างวันที่ 13-15 ธ.ค.2561
