ระเบิดลงทันที หลัง ลุงตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หลุดระหว่างประชุมหารือ 75 พรรคการเมืองเพื่อเดินหน้าเลือกตั้ง ด้วยประเด็นการระบุว่าบัตรลงคะแนนไม่จำเป็นต้องมีชื่อพรรคและโลโกพรรคกำกับผู้สมัคร กกต.เหมือนจะออกมาเด้งรับแนวคิดนี้ และพยายามอธิบาย
“สิ่งที่ไม่ชอบธรรมให้ชอบธรรม” อ้างเหตุผลต่างๆ นานา แต่ดูเหมือน
“เอาสีข้างเข้าถู” ชนิดฟังไม่ขึ้น
พรรคการเมืองน้อยใหญ่ทั้ง
“เพื่อไทย-ประชาธิปัตย์-อนาคตใหม่” และพรรคในเครือข่าย ทักษิณ ชินวัตร ออกมาต่อต้านแนวคิดนี้และลากโยงว่า ถ้ากกต.กระทำเช่นนั้น นอกจากจะขัดต่อเจตนารมณ์แห่งรัฐธรรมนูญแล้ว ยังเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า กกต.มิใช่องค์กรอิสระตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ แม้พรรคการเมืองที่ออกมาคัดค้านและส่งเสียงต่อต้าน จะไม่เข้าร่วมหารือเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม ที่ผ่านมา แต่หาใช่เหตุที่ กกต.จะไม่ฟังเสียง เพราะต้องยอมรับว่าเสียงคัดค้านในประเด็นนี้มี
“น้ำหนักและความชอบธรรมมาก”
ง่ายๆ การเลือกตั้งระบบสัดส่วนผสมตามรัฐธรรมนูญ ได้กำหนดให้มีบัตรลงคะแนนเลือกตั้งเพียงใบเดียวคือ ส.ส.เขต และให้เอาคะแนนส.ส.เขตนั้น มาคำนวณเป็นคะแนนพรรคคือ ปาร์ตี้ลิสต์ นั่นแปลว่า ผู้ลงคะแนนกาบัตรแล้วจะได้ทั้งคนและพรรค จึงเป็นสิ่งที่ไม่สมควรอย่างยิ่งที่กกต.จะตัดชื่อ หรือโลโกพรรคออกไป ตามความเห็นของ ลุงตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หาก กกต.ขืนดื้อดึงเรื่องเล็กจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ และจะทำให้การเลือกตั้งที่ทุกคนหวังว่าจะเป็น
“ทางออก” ของประเทศ จะกลายเป็น
“ทางตัน” และเกินกว่า กกต.ทั้ง 7 คน จะรับไหว
“นะจะบอกให้”
[caption id="attachment_359653" align="aligncenter" width="335"]
[/caption]
ย้อนประวัติศาสตร์ เป็นบทเรียนให้
“7 กกต.” ชุดปัจจุบันได้กลับไปนั่งทบทวนใหม่ ตั้งแต่มี กกต.มา หลังรัฐธรรมนูญปี 2540 มีการเลือกตั้งมาแล้ว 6 ครั้ง เป็นการจัดการที่
“โมฆะ” มาแล้ว 2 ครั้ง การโมฆะครั้งแรกคือการเลือกตั้ง 2 เมษายน 2549 สมัยรัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร มีการบอยคอตต์ไม่ลงเลือกตั้งจาก 3 พรรคการเมืองคือ
“ประชาธิปัตย์-ชาติไทย-มหาชน” และมีการจ้างพรรคเล็กเพื่อหนีกติกาในรัฐธรรมนูญ จนนำไปสู่การยุบพรรคไทยรักไทยในเวลาต่อมา มีการฉีกบัตรเลือกตั้งจากนักวิชาการและนักเคลื่อนไหวทางการเมือง และสุดท้ายที่ทำให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการเลือกตั้งขณะนั้นเป็นโมฆะ เพราะการกาบัตรลงคะแนนไม่เป็นความลับ มีการหันคูหาออกด้านนอกทำให้คนที่อยู่นอกคูหาสามารถล่วงรู้การลงคะแนนเสียงได้
และเป็นผลให้ศาลอาญาตัดสินจำคุก กกต.ทั้งหมด ที่ปฏิบัติหน้าที่ในขณะนั้น เป็นเวลา 2 ปี แต่ถูกจำคุกจริงเพียง 2 คนคือ พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ อดีตประธาน กกต. และ ปริญญา นาคฉัตรีย์ ส่วน จรัล บูรณพันธุ์ศรี และ วีระชัย แนวบุญเนียร เสียชีวิตในขณะดำเนินคดี และ พล.อ.จารุภัทร เรืองสุวรรณ ลาออกในช่วงวิกฤติปี 2549 จึงไม่ถูกดำเนินคดี
อีกครั้งคือการเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ 2557 เป็นโมฆะ ก่อนการยึดอำนาจ เนื่องจากไม่สามารถจัดการเลือกตั้งให้แล้วเสร็จภายในวันเดียว ขัดต่อรัฐธรรมนูญ เพราะมีการขัดขวางการเลือกตั้งช่วงการชุมนุมของ กปปส. แต่กกต.มิได้มีเจตนาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ จึงไม่มีการดำเนินคดีกับกกต.ชุดนั้น
เล่าประวัติศาสตร์วิกฤติการเมืองไทยที่เกี่ยวข้องกับการทำหน้าที่ของกกต.เพื่อเตือนสติ กกต.ทั้ง 7 ที่นำโดย อิทธิพร บุญประคอง ประธานกกต. เพื่อจะบอกว่าถ้าเจตนาจัดการเลือกตั้งโดยมิชอบต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมาย
“คุกรออยู่” และยิ่งมีอดีตส.ส.เพื่อไทยขู่จะยื่นเรื่องนี้ต่อศาลปกครอง การดำเนินคดีก็จะเริ่มต้น ถ้าท่านไม่ทบทวน
| คอลัมน์ : ที่นี่ไม่มีความลับ
| โดย : เอราวัณ
| หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3426 หน้า 16 ระหว่างวันที่ 13-15 ส.ค.2561