พาณิชย์พร้อมประกาศเดินหน้ารุก "ตลาดเอเชีย" เต็มสูบ!!
'พาณิชย์' หารือผู้ส่งออก เคาะเป้าส่งออกปี 62 มั่นใจ! ผลักดันให้เติบโตได้ถึง 8% พร้อมประกาศเดินหน้ารุกตลาดเอเชียเต็มสูบ
นางสาวบรรจงจิตต์ อังศุสิงห์ อธิบดี กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กล่าวภายหลังการประชุมประเมินสถานการณ์การส่งออก ประจำไตรมาส 4 ร่วมกับภาคเอกชน เช่น สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กลุ่มยานยนต์) สมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป เป็นต้น โดยที่ประชุมมีความเห็นตรงกันว่า ในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ มั่นใจว่า การส่งออกในภาพรวมตลอดทั้งปี 2561 จะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ 8% เพราะที่ผ่านมา ตัวเลข 10 เดือน ทำได้ค่อนข้างดี การส่งออกของไทยขยายตัวได้ถึง 8.2% ส่วนในปี 2562 จากการประเมินร่วมกับภาคเอกชน โดยได้คำนวณครอบคลุมไปถึงปัจจัยลบต่าง ๆ แล้ว กรมฯ มีความเชื่อมั่นว่าจะสามารถผลักดันเป้าหมายการส่งออกให้เติบโตได้ถึง 8% เพราะยังมีหลายตลาดที่น่าสนใจที่ยังสามารถทำการตลาดเชิงรุก ทั้ง Online และ Offline ผ่านเครือข่ายผู้นำเข้าสินค้าไทย โดยเฉพาะประเทศในแถบเอเชีย เช่น จีน อินเดีย และฮ่องกง อย่างไรก็ตาม ยังคงมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องระวัง ทั้งในเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยน ราคาน้ำมัน และสงครามการค้า เป็นต้น
[caption id="attachment_359854" align="aligncenter" width="503"]
บรรจงจิตต์ อังศุสิงห์[/caption]
และล่าสุด เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. 2561 ที่ผ่านมา สหรัฐฯ และจีนได้ตกลงที่จะเจรจาเพื่อหาข้อยุติสงครามการค้าระหว่างกัน ภายใน 90 วัน ซึ่งจะสิ้นสุดลงในช่วงต้นเดือน มี.ค. 2562 โดยประเด็นนี้ร่วมกับกรณีที่แคนาดาได้จับกุมผู้บริหารระดับสูงของ บริษัท หัวเว่ย ตามคำขอของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่กล่าวหาว่า บริษัทฯ ไม่ปฏิบัติตามมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่มีต่ออิหร่าน กรมจะได้ติดตามอย่างใกล้ชิดว่าจะส่งผลกระทบต่อเนื่องมาถึงการเจรจาหาข้อยุติสงครามการค้าของทั้ง 2 ฝ่าย หรือไม่ โดยที่ผ่านมาการส่งออกไปยังสหรัฐฯ และจีนของไทย ในภาพรวมได้รับผลกระทบน้อยมาก มีเพียงสินค้าบางตัวที่สหรัฐฯ ขึ้นภาษีกับทุกประเทศเหมือนกันเท่านั้น ที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ เครื่องซักผ้าและแผงโซลาร์เซลล์ ซึ่งมีมูลค่าไม่มากนัก
"ปีหน้ากรมเชื่อมั่นว่า การส่งออกยังจะขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง ทั้งจากเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มขยายตัว แม้ว่าจะเป็นอัตราที่ชะลอตัวลง ค่าเงินที่ค่อนข้างมีเสถียรภาพ การผลักดันการค้าทั้งในรูปแบบออฟไลน์และออนไลน์อย่างเต็มที่ ภาคธุรกิจบริการของไทยที่มีความแข็งแกร่ง ตลอดจนการลงทุนที่โครงการ EEC ที่เริ่มจะส่งผลให้เห็นเป็นรูปธรรม โดยกลุ่มสินค้าดาวรุ่งใหม่ ๆ ที่จะมีบทบาทมากในปีหน้า ได้แก่ ผักผลไม้ อาหารสัตว์/สินค้าสัตว์เลี้ยง เครื่องดื่ม เครื่องปรุงรส/เครื่องเทศ เครื่องสำอาง เครื่องมือแพทย์ และเครื่องหนัง ซึ่งมีแนวโน้มการส่งออกขยายตัวเป็นเลข 2 หลักทั้งสิ้น"
นอกจากนี้ กรมได้เร่งพัฒนาผู้ประกอบการทุกระดับอย่างต่อเนื่อง เน้นการบูรณาการกับหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อเสริมสร้างศักยภาพอย่างครบวงจร โดยกรมจะลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการส่งเสริมศักยภาพและสนับสนุนผู้ประกอบการไทยร่วมกับ EXIM Bank ซึ่งจะครอบคลุมความร่วมมือ 5 ด้าน ได้แก่ ด้านการประชาสัมพันธ์ ด้านการบูรณาการข้อมูล ด้านการสนับสนุนทางการเงิน ด้านการส่งเสริมองค์ความรู้ให้กับผู้ประกอบการไทย และด้านการส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศด้วยช่องทางการค้าออนไลน์
ด้าน นายสนั่น อังอุบลกุล รองประธาน สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย คาดว่า ในปี 2562 การส่งออกสินค้าเกษตรมีโอกาสขยายตัวได้ 3-4% และสินค้าอุตสาหกรรมน่าจะเติบโตได้ 6-8% โดยสินค้าที่ยังมีแนวโน้มเติบโตได้ดี ได้แก่ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ อาหาร วัสดุก่อสร้าง และน้ำมันสำเร็จรูป เป็นต้น ส่วนยางพารา ซึ่งปีนี้ติดลบมากกว่า 20% นั้น ปีหน้ามีโอกาสบวกได้ถึงร้อยละ 5 โดยภาคเอกชนมองว่า ภาครัฐควรเร่งเจรจาเปิดเขตการค้าเสรี หรือ FTA เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการส่งออก และยังควรประกาศท่าทีต่อการเข้าร่วมเป็นสมาชิก CPTPP อย่างชัดเจนด้วย
นางสาวบรรจงจิตต์ อังศุสิงห์ อธิบดี กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กล่าวภายหลังการประชุมประเมินสถานการณ์การส่งออก ประจำไตรมาส 4 ร่วมกับภาคเอกชน เช่น สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กลุ่มยานยนต์) สมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป เป็นต้น โดยที่ประชุมมีความเห็นตรงกันว่า ในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ มั่นใจว่า การส่งออกในภาพรวมตลอดทั้งปี 2561 จะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ 8% เพราะที่ผ่านมา ตัวเลข 10 เดือน ทำได้ค่อนข้างดี การส่งออกของไทยขยายตัวได้ถึง 8.2% ส่วนในปี 2562 จากการประเมินร่วมกับภาคเอกชน โดยได้คำนวณครอบคลุมไปถึงปัจจัยลบต่าง ๆ แล้ว กรมฯ มีความเชื่อมั่นว่าจะสามารถผลักดันเป้าหมายการส่งออกให้เติบโตได้ถึง 8% เพราะยังมีหลายตลาดที่น่าสนใจที่ยังสามารถทำการตลาดเชิงรุก ทั้ง Online และ Offline ผ่านเครือข่ายผู้นำเข้าสินค้าไทย โดยเฉพาะประเทศในแถบเอเชีย เช่น จีน อินเดีย และฮ่องกง อย่างไรก็ตาม ยังคงมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องระวัง ทั้งในเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยน ราคาน้ำมัน และสงครามการค้า เป็นต้น
[caption id="attachment_359854" align="aligncenter" width="503"]
และล่าสุด เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. 2561 ที่ผ่านมา สหรัฐฯ และจีนได้ตกลงที่จะเจรจาเพื่อหาข้อยุติสงครามการค้าระหว่างกัน ภายใน 90 วัน ซึ่งจะสิ้นสุดลงในช่วงต้นเดือน มี.ค. 2562 โดยประเด็นนี้ร่วมกับกรณีที่แคนาดาได้จับกุมผู้บริหารระดับสูงของ บริษัท หัวเว่ย ตามคำขอของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่กล่าวหาว่า บริษัทฯ ไม่ปฏิบัติตามมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่มีต่ออิหร่าน กรมจะได้ติดตามอย่างใกล้ชิดว่าจะส่งผลกระทบต่อเนื่องมาถึงการเจรจาหาข้อยุติสงครามการค้าของทั้ง 2 ฝ่าย หรือไม่ โดยที่ผ่านมาการส่งออกไปยังสหรัฐฯ และจีนของไทย ในภาพรวมได้รับผลกระทบน้อยมาก มีเพียงสินค้าบางตัวที่สหรัฐฯ ขึ้นภาษีกับทุกประเทศเหมือนกันเท่านั้น ที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ เครื่องซักผ้าและแผงโซลาร์เซลล์ ซึ่งมีมูลค่าไม่มากนัก
"ปีหน้ากรมเชื่อมั่นว่า การส่งออกยังจะขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง ทั้งจากเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มขยายตัว แม้ว่าจะเป็นอัตราที่ชะลอตัวลง ค่าเงินที่ค่อนข้างมีเสถียรภาพ การผลักดันการค้าทั้งในรูปแบบออฟไลน์และออนไลน์อย่างเต็มที่ ภาคธุรกิจบริการของไทยที่มีความแข็งแกร่ง ตลอดจนการลงทุนที่โครงการ EEC ที่เริ่มจะส่งผลให้เห็นเป็นรูปธรรม โดยกลุ่มสินค้าดาวรุ่งใหม่ ๆ ที่จะมีบทบาทมากในปีหน้า ได้แก่ ผักผลไม้ อาหารสัตว์/สินค้าสัตว์เลี้ยง เครื่องดื่ม เครื่องปรุงรส/เครื่องเทศ เครื่องสำอาง เครื่องมือแพทย์ และเครื่องหนัง ซึ่งมีแนวโน้มการส่งออกขยายตัวเป็นเลข 2 หลักทั้งสิ้น"
นอกจากนี้ กรมได้เร่งพัฒนาผู้ประกอบการทุกระดับอย่างต่อเนื่อง เน้นการบูรณาการกับหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อเสริมสร้างศักยภาพอย่างครบวงจร โดยกรมจะลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการส่งเสริมศักยภาพและสนับสนุนผู้ประกอบการไทยร่วมกับ EXIM Bank ซึ่งจะครอบคลุมความร่วมมือ 5 ด้าน ได้แก่ ด้านการประชาสัมพันธ์ ด้านการบูรณาการข้อมูล ด้านการสนับสนุนทางการเงิน ด้านการส่งเสริมองค์ความรู้ให้กับผู้ประกอบการไทย และด้านการส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศด้วยช่องทางการค้าออนไลน์
ด้าน นายสนั่น อังอุบลกุล รองประธาน สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย คาดว่า ในปี 2562 การส่งออกสินค้าเกษตรมีโอกาสขยายตัวได้ 3-4% และสินค้าอุตสาหกรรมน่าจะเติบโตได้ 6-8% โดยสินค้าที่ยังมีแนวโน้มเติบโตได้ดี ได้แก่ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ อาหาร วัสดุก่อสร้าง และน้ำมันสำเร็จรูป เป็นต้น ส่วนยางพารา ซึ่งปีนี้ติดลบมากกว่า 20% นั้น ปีหน้ามีโอกาสบวกได้ถึงร้อยละ 5 โดยภาคเอกชนมองว่า ภาครัฐควรเร่งเจรจาเปิดเขตการค้าเสรี หรือ FTA เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการส่งออก และยังควรประกาศท่าทีต่อการเข้าร่วมเป็นสมาชิก CPTPP อย่างชัดเจนด้วย
