"วิศวกรหนุ่ม" ปั้นชุดสูทแบรนด์ "GM”C" เปิดกลยุทธ์ครองใจลูกค้า

13 ธ.ค. 2561 | 03:07 น.
จากบทบาทของวิศวกรหนุ่มไปสู่อีกหนึ่งบทบาททางธุรกิจแบบไม่ทันตั้งตัว โดยที่ตนเองไม่ได้มีความเชี่ยวชาญมาก่อน แต่ชายหนุ่มอย่าง "โชติ เมธามณีโชติ" ก็สามารถปรับตัวเองให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปของชีวิต ซึ่งนำไปสู่อีกเส้นทางหนึ่งภายใต้บทบาทที่เป็นเจ้าของธุรกิจ ร้าน "จีเอ็มซี สไตล์" (GM”C STYLE) ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

SUT2
เปลี่ยนบทบาทสู่เจ้าของ
'โชติ' บอกถึงที่มาที่ไปของจุดเริ่มต้นของบทบาทในการเป็นเจ้าของธุรกิจ กับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ต้นตอที่แท้จริงคงต้องย้อนเวลากลับไปประมาณ 17 ปีที่ผ่านมา ซึ่งร้านจีเอ็มซีกำลังอยู่ในช่วงรอยต่อของการดำเนินธุรกิจภายใต้การดูแลของเครือญาติในครอบครัว ที่กำลังจะปิดตัวลง แต่ด้วยความที่คุณพ่อต้องการให้ตนมีธุรกิจเป็นของตนเอง และเล็งเห็นว่า นี่เป็นโอกาสของการทำธุรกิจอย่างหนึ่งที่ควรจะต้องไขว่คว้า แม้ว่าจะไม่ใช่แขนงเดียวกับวุฒิการศึกษาที่รํ่าเรียนมาก็ตาม

ทั้งนี้ ร้านจีเอ็มซี เป็นร้านที่ทำธุรกิจรับตัดชุดสูทสำหรับสุภาพบุรุษ ดังนั้น การศึกษาหาความรู้ในช่วงแรกจึงเลือกที่จะลาออกจากงานวิศวกรเข้าไปสมัครทำงานที่ร้านตัดชุดสูทแห่งหนึ่ง เพราะเชื่อว่า วิธีการศึกษาที่ดีที่สุด ก็คือ การนำพาตนเองเข้าไปคลุกคลีอยู่กับแวดวงของการทำธุรกิจดังกล่าว ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นการฝึกงานไปในตัว อีกทั้งการหาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต หรือ การซื้อตำรามาศึกษาก็ยังไม่ตอบโจทย์ที่ต้องการ โดยมีเวลาเตรียมตัวประมาณ 2 เดือนเท่านั้น เพื่อที่จะมาเปิดร้าน

อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่ตนมีโอกาสได้ไปศึกษาหาความรู้ที่ประเทศสหรัฐอเมริกามา ทำให้มีพื้นฐานทางด้านภาษาต่างประเทศ ซึ่งสามารถนำมาปรับใช้กับธุรกิจได้เป็นอย่างดี และทำให้มีความมั่นใจมากขึ้นในการเข้ามาทำธุรกิจส่วนตัว เนื่องจากในช่วงเวลานั้น ลูกค้าหลักของร้าน คือ ชาวต่างชาติ ไม่มีคนไทยเลย เพราะร้านไม่ได้เป็นแบรนด์ชื่อดัง เป็นเพียงแค่ร้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง


จุดเปลี่ยนธุรกิจ
จุดเปลี่ยนสำคัญของธุรกิจนั้น เกิดขึ้นหลังจากที่ร้านได้มีโอกาสรับงานตัดชุดสูทผู้ชายให้กับทีมงานของมิสยูนิเวิร์ส ปี 2004 ซึ่งเป็นชาวออสเตรเลีย ส่งผลทำให้ร้านธรรมดาแห่งหนึ่งกลายเป็นที่รู้จักมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าออสเตรเลียและประเทศอื่น ๆ จากจุดดังกล่าวได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับตนในการก้าวไปข้างหน้า โดยเริ่มขยับขยายสาขามาเปิดเพิ่มเติมที่ห้างสรรพสินค้ามาบุญครอง ณ เวลานั้นถือว่าเป็นห้างที่เป็นสัญลักษณ์ของประเทศไทย ที่ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดก็ต้องมา ทั้งชาวต่างชาติและชาวไทย จากเดิมที่ร้านจะอยู่ที่ห้างอัมรินทร์พลาซ่า จากนั้นจึงขยายสาขามาต่อเนื่อง จนปัจจุบันมีทั้งหมด 4 สาขา โดยเพิ่มเติมที่สยามสแควร์ ซอย 6 และที่โครงการศูนย์การค้าดิอัพ พระราม3 (The UP Rama3)


SUT4

สำหรับกลยุทธ์การทำตลาดของร้านจะเป็นการใช้สื่อประชาสัมพันธ์ในทุกช่องทางควบคู่กันไป ทั้งสื่อออนไลน์ที่ดำเนินการผ่านทางเฟซบุ๊ก, ไลน์แอด (Line@), อินสตาแกรม (IG) และเว็บไซต์ ซึ่งจะมีเนื้อหาค่อนข้างสมบูรณ์แบบ โดยทางร้านจะทำเสมือนเป็นกูรูทางด้านสูท เพื่อให้ความรู้ทางด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับสูท แต่ผสมผสานไปด้วยแบรนด์ของทางร้าน ซึ่งส่วนใหญ่ลูกค้าก็จะช่วยรีวิวให้ เนื่องจากพฤติกรรมของลูกค้ายุคใหม่จะอ่านรีวิวมาก่อน เพื่อประกอบการตัดสินใจ ขณะที่ ทางด้านออฟไลน์ ร้านจะมีข้อได้เปรียบเรื่องทำเล ซึ่งทั้ง 4 สาขา จะเปิดให้บริการอยู่ใจกลางเมืองที่เป็นศูนย์รวมแห่งการช็อปปิ้ง รวมถึงการลงสื่อนิตยสารต่าง ๆ และการแนะนำบอกต่อกันไปแบบปากต่อปาก

"การทำสื่อผ่านทางเฟซบุ๊ก ทำให้ร้านจีเอ็มซีมีลูกค้าที่เป็นคนไทยเพิ่มมากขึ้นกว่าชาวต่างชาติ โดยร้านจะทำเป็นเซตแฟชั่น ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า นอกจากนี้ ยังมีการถ่ายกับนิตยสารกับกลุ่มพระเอกที่มีชื่อเสียงของประเทศ ก็ยิ่งทำให้ร้านเป็นที่รู้จักมากขึ้น ทำให้สัดส่วนลูกค้าคนไทยเพิ่มเป็น 60% จากเดิมที่มีอยู่เพียง 10% เท่านั้น"

ส่วนกลยุทธ์การทำตลาดในระยะต่อไป ร้านจีเอ็มซีมีแผนขยายสาขาการให้บริการเพิ่มเติมอีกที่ 1 สาขา ที่โครงการเดอะ มาร์เก็ต แบงคอก บนถนนราชดำริ โดยร้านถูกเชิญชวนให้เข้าไปเปิดสาขาภายในโครงการ ซึ่งตนก็มองว่า โครงการดังกล่าวจะเป็นแหล่งศูนย์รวมการช็อปปิ้งในอนาคต เพราะการบริหารงานทางด้านการตลาดของเจ้าของโครงการที่ดีและทำเลที่มีความได้เปรียบ นอกจากนี้ ร้านยังมองไปถึงการขยายสาขาไปยังพื้นที่ต่างจังหวัดด้วย

ขณะเดียวกัน ยังเตรียมรุกช่องทางทางด้านออนไลน์มากขึ้น โดยการทำคลิปไวรัลเพื่อเผยแพร่ 1 คลิปต่อเดือน ซึ่งเนื้อหาจะค่อนข้างหลากหลาย โดยตอนแรกที่กำลังจะนำเสนอในปีหน้า เป็นคลิปที่เกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ในการใช้ชีวิตที่ผสมผสานไปกับการสวมชุดสูทที่สามารถไปได้ทุกที่ทุกเวลา เพียงแค่เลือกปรับชุดให้เข้ากับช่วงเวลาและบรรยากาศ โดยมองว่า ปัจจุบันการใส่สูทถือเป็นเรื่องปกติสำหรับทุกคน นอกจากนี้ ในอนาคตร้านจีเอ็มซีอาจจะมีรูปแบบในการทำธุรกิจร่วมกับแบรนด์อื่น หลังจากที่ทางร้านได้รับการทาบทามจากแบรนด์อื่นบ่อยครั้งในการเข้าไปเติมเต็มธุรกิจให้ครบวงจรมากขึ้น


เล็งรายได้โต 20-30%
จากกลยุทธ์ในการทำตลาดดังกล่าว เชื่อว่าจะทำให้รายได้ของร้านเติบโตเพิ่มขึ้น 20-30% ในปีนี้ และจะโตเพิ่มอีก 20% ในปี 2562 จุดเด่นที่สำคัญของร้านจีเอ็มซี คือ การทำงานที่รวดเร็ว ซึ่งมาพร้อมกับคุณภาพ ซึ่งทางร้านสามารถตัดสูทให้ลูกค้าได้เร็วที่สุดภายใน 2 วัน จากปกติที่จะต้องใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์ เนื่องจากที่ร้านจะมีสต๊อกของวัตถุดิบที่เป็นผ้าหลากหลายประเภทจากทั้งในและต่างประเทศให้ลูกค้าได้เลือก และทีมงานที่เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านสูทอย่างแท้จริง

อีกทั้งการให้บริการที่ค่อนข้างยืดหยุ่นและเป็นมิตร เป็นทั้งผู้ให้คำปรึกษาและช่วยออกแบบชุดหรือสีให้เหมาะกับการใช้ พร้อมบริการหลังการขายที่สามารถแก้ไขชุดให้ได้ในกรณีที่มีการฉีกขาด หรือ หลวมไป คับไปจากนํ้าหนัก และขนาดของหุ่นลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไปไม่เกิน 5 กิโลกรัมบวกลบ

ด้านหลักคิดในการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จนั้น มองว่าอยู่ที่ความจริงใจและซื่อสัตย์ต่อลูกค้า โดยจะบอกกับลูกค้าไปตามตรง หากเป็นผ้าที่ดีก็อาจจะต้องขายในราคาที่สูง โดยสูทจากร้านจีเอ็มซีจะตัดที่โรงงานของร้านเอง ไม่มีการส่งงานต่อไปให้กับเจ้าอื่น จึงสามารถควบคุมคุณภาพในการผลิตได้ อีกทั้งพนักงานทุกคนก็เป็นผู้ที่มีความรู้และสามารถเป็นสไตลิสต์ให้กับลูกค้าได้ และราคาที่สามารถจับต้องได้


| โดย : นิธิโรจน์  เกิดบุญภานุวัฒน์

| ภาพ : สุกฤษฏิ์ สืบสาย

หน้า 13 ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3425 วันที่ 9-12 ธันวาคม 2561


595959859