"ทรัมป์ - สี จิ้นผิง" เจรจารุดหน้า! พาณิชย์ประเมินส่งผลบวกต่อการส่งออกไทย

04 ธ.ค. 2561 | 04:13 น.
"ทรัมป์ - สี จิ้นผิง" เจรจารุดหน้า! พาณิชย์ประเมินส่งผลบวกต่อการส่งออกไทย เผย จีนยอมรับข้อเสนอของสหรัฐฯ ในเรื่องหลัก

นางสาวพิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการ สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าการเจรจายุติข้อขัดแย้งระหว่างจีนและสหรัฐฯ ในการประชุมหารือนอกรอบ G20 ณ กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา โดยสหรัฐฯ ตกลงเลื่อนการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนเพิ่มเติม จากร้อยละ 10 เป็นร้อยละ 25 (ครอบคลุมตั้งแต่สินค้าเกษตร ประมง และเทคโนโลยี) จากกำหนดเดิมในวันที่ 1 ม.ค. 2562 และขยายเวลา 90 วัน เพื่อเปิดทางให้ทั้งสองฝ่ายเดินหน้าเจรจายุติข้อพิพาทการค้าระหว่างกัน ซึ่งในระหว่างนี้ สหรัฐฯ จะยังคงเก็บภาษีสินค้าจากจีนที่ร้อยละ 10 ทั้งนี้ แถลงการณ์จากทำเนียบขาวระบุว่า หากทั้งสองฝ่ายไม่สามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้าระหว่างกันได้หลังจากครบกำหนด 90 วันแล้ว สหรัฐฯ จะเดินหน้าการเก็บภาษีสินค้าจีนเพิ่มในอัตราร้อยละ 25

ความคืบหน้าการเจรจาในครั้งนี้ เป็นผลสำคัญมาจากการที่จีนยอมรับข้อเสนอของสหรัฐฯ ในเรื่องหลัก ๆ คือ (1) ตกลงที่จะซื้อสินค้าเกษตร พลังงาน อุตสาหกรรม และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ จากสหรัฐฯ โดยจะซื้อสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ ทันที เพื่อลดปัญหาความไม่สมดุลทางการค้าระหว่างสองประเทศ (2) จีนตกลงที่จะกำหนดให้ Fentanyl ซึ่งเป็นยาระงับปวดประสิทธิภาพสูง เป็นสารควบคุมและห้ามส่งออกไปยังสหรัฐฯ โดยหากฝ่าฝืนจะต้องได้รับโทษสูงสุดตามกฎหมายของจีน และ (3) ยอมรับที่จะเริ่มการเจรจากับสหรัฐฯ ในประเด็นที่สหรัฐฯ ให้ความสำคัญ อาทิ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการถ่ายโอนเทคโนโลยี (Technology Transfer) การปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Property Protection) อุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษี (non-Tariff Barriers) การบุกรุกทางไซเบอร์และ การโจรกรรมทางไซเบอร์ (Cyber Intrusions and Cyber Theft) การเจรจาด้านการค้าบริการและการเกษตร ภายในระยะเวลา 90 วัน ทั้งนี้ จีนยังระบุด้วยว่าจะมีการทบทวนพิจารณาอนุมัติการลงทุนแก่ บริษัท Qualcomm-NXP ซึ่งเป็นบริษัทเกี่ยวกับเทคโนโลยีและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์จากสหรัฐฯ ที่ต้องการเข้าไปลงทุนในจีน

 

[caption id="attachment_356666" align="aligncenter" width="503"] พิมพ์ชนก วอนขอพร พิมพ์ชนก วอนขอพร[/caption]

นางสาวพิมพ์ชนก ให้ความเห็นว่า ความคืบหน้าการเจรจาระหว่างทั้งสองประเทศ ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโลกและการส่งออกสินค้าของไทย โดยสามารถลดบรรยากาศความตึงเครียดที่เกิดขึ้นจากผลของสงครามการค้า อีกทั้งยังช่วยให้เสถียรภาพทางด้านการค้าและการลงทุนกลับมาดีขึ้น ช่วยลดความผันผวนในตลาดทุนและตลาดเงิน ซึ่งเศรษฐกิจโลกที่มีเสถียรภาพมากขึ้นจะสนับสนุนให้การค้าโลกขยายตัวและเป็นผลบวกต่อการส่งออกของไทย โดยเฉพาะการส่งออกสินค้าขั้นกลาง (Intermediate Goods) อาทิ สินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ในห่วงโซ่อุปทานของจีน ซึ่งที่ผ่านมาได้รับผลกระทบมากที่สุดจากสงครามการค้า หากปัญหาความขัดแย้งคลี่คลายก็จะช่วยให้การส่งออกสินค้าดังกล่าวปรับตัวดีขึ้น และสนับสนุนให้การส่งออกไทยขยายตัวได้เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ร้อยละ 8

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ และจีน มีความก้าวหน้า เป็นสัญญาณที่ดีว่า สงครามการค้ามีแนวโน้มเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น ผอ.สนค. ระบุว่า ยังคงมีความกังวลในประเด็นการขึ้นภาษี สินค้ากลุ่มยานยนต์ และชิ้นส่วนของสหรัฐฯ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการไต่สวนตามมาตรการปกป้องการนำเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้น (Safeguard Measure) กับทุกประเทศ ว่า สหรัฐฯ จะชะลอ หรือ เดินหน้าบังคับใช้มาตรการดังกล่าว เพราะประเทศที่เข้าข่ายอาจโดนมาตรการฯ ไม่ได้มีเพียงประเทศจีนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงประเทศไทยด้วย ซึ่งกระทรวงพาณิชย์จะติดตามประเด็นดังกล่าวอย่างใกล้ชิดต่อไป โดยเฉพาะในระยะ 90 วัน ตามกำหนดเวลา

ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว