"ไทย" ขึ้นแท่นประเทศแรกในเอเชีย รับ "อนุสัญญาฯ 188"

30 พ.ย. 2561 | 06:57 น.
ก.แรงงาน แถลงหลักการสำคัญของอนุสัญญาฯ 188 ว่าด้วยการทำงานในภาคการประมง ยืนยันเป็นประโยชน์กับแรงงาน ผลดีต่อภาคประมงในระยะยาว นานาชาติยอมรับสินค้าไทย ผลิตอย่างมีจริยธรรมและธรรมาภิบาล คาดลดแรงงานขาดแคลนได้ในอนาคต

012

พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการแถลงข่าวประเด็นการให้สัตยาบันอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ 188 ว่าด้วยการทำงานในภาคการประมง พ.ศ. 2550 (ค.ศ. 2007) โดยมี นายเกรม บักเลย์ (Mr.Graeme Buckley) ผู้อำนวยการ สำนักงานแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ประจำประเทศไทย กัมพูชา และลาว, นายหลุยส์  แพรทส์ หัวหน้าหน่วยการต่างประเทศ กองอำนวยการ กระทรวงการจ้างงานกิจการสังคมและการหลอมรวมทางสังคม สหภาพยุโรป, นายจรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงาน, นางเพชรรัตน์ สินอวย อธิบดีกรมการจัดหางาน พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงแรงงาน ร่วมแถลงข่าวในครั้งนี้ด้วย ณ ห้องประชุม ศ.นิคม จันทรวิทุร ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน ... รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า สภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ลงมติเห็นชอบให้กระทรวงแรงงานดำเนินการให้สัตยาบันอนุสัญญาองค์การ แรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ 188 ว่าด้วยการทำงานในภาคการประมง พ.ศ. 2550 (ค.ศ. 2007)


S__12148754

โดยไทยจะเป็นประเทศแรกในอาเซียนและในภูมิภาคเอเชียที่ให้สัตยาบันต่ออนุสัญญาฉบับดังกล่าว เพื่อเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนไปทั่วโลกได้ว่า ณ วันนี้ ไทยมีความมุ่งมั่นที่จะยกระดับมาตรฐานการคุ้มครองดูแลแรงงาน ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ในภาคประมงของไทยให้ดียิ่งขึ้นเทียบเท่ามาตรฐานสากล ซึ่งจะทำให้ภาคประมงของไทยได้รับการยอมรับ มีภาพลักษณ์ที่ดี และจะเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการสำคัญในการช่วยแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานประมงไทยในขณะนี้ รวมถึงจะส่งผลต่อภาพรวมด้านเศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศในสินค้าอาหารทะเลของไทย ที่ปัจจุบันมีมูลค่าส่งออกเฉลี่ยปีละ 2 แสนล้านบาทด้วย เพราะจะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้บริโภคสินค้าประมงไทยได้ว่า สินค้าของเราจะเป็นสินค้าที่ผลิตอย่างมีจริยธรรมและมีธรรมาภิบาล


MP24-3279-4-503x300

พล.ต.อ.อดุลย์ กล่าวต่อว่า ก่อนที่จะมาถึงวันนี้กระทรวงแรงงานได้รับฟังความเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย ทั้งนายจ้าง ลูกจ้าง ภาคประชาสังคม และภาควิชาการ รวมถึงหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องทั้งหมด แล้วมาหลายรอบ และได้ยกร่าง พ.ร.บ.แรงงานประมง ขึ้นมา โดยมีเนื้อหาที่สะท้อนข้อเสนอของทุกภาคส่วน และกระทรวงแรงงานได้มีการลงพื้นที่รับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียแล้วจำนวน 6 ครั้ง ซึ่งส่วนใหญ่เห็นด้วยว่า เป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์ทั้งกับแรงงาน นายจ้าง และภาพลักษณ์ของภาคประมงไทยและสินค้าประมงไทยโดยรวม


002

สำหรับการบังคับใช้กฎหมายในเรื่องนี้ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มได้ประมาณกลางปีหน้านั้น ขอย้ำว่า จะไม่กระทบต่อกลุ่มชาวประมงพื้นบ้านแต่อย่างใด และจะใช้บังคับเฉพาะกับกลุ่มเรือประมงพาณิชย์ของไทยที่มีขนาด 30 ตันกรอสส์ขึ้นไป ที่มีประมาณ 5,000 กว่าลำ สำหรับเรื่องโครงสร้างเรือจะใช้บังคับเฉพาะกับเรือประมงพาณิชย์ที่เป็นเรือต่อใหม่ที่มีขนาด 300 ตันกรอสส์ขึ้นไป และขนาดความยาวตลอดลำเรือ 26.5 เมตรขึ้นไปเท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มเรือที่ทำประมงนอกน่านน้ำไทย และหลายเรื่องไม่ได้เร่งให้เจ้าของเรือต้องดำเนินการในทันทีทันใด แต่จะค่อยเป็นค่อยไปในทางปฏิบัติ โดยเนื้อหาส่วนใหญ่ที่เพิ่มขึ้นจะเกี่ยวข้องกับการดูแลลูกจ้าง สภาพการจ้าง รวมทั้งคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของลูกจ้างทั้งหมดเป็นสำคัญ ซึ่งขอเน้นย้ำว่า เราจะดูแลทั้งคนงานไทยและคนงานต่างด้าวในภาคประมงไทย


44077966_733480853680128_2987526487424368640_n

โดยรวมแล้วการให้สัตยาบันอนุสัญญาฉบับที่ 188 ไม่ได้สร้างภาระเพิ่มเติมต่อชาวประมงอย่างที่ในอดีตเคยมีบางท่านได้เคยแสดงความห่วงกังวลแต่อย่างใด เนื่องด้วยปัจจุบัน ประเทศไทยมีการบังคับใช้กฎหมายสอดคล้องกับข้อกำหนดของอนุสัญญาเป็นส่วนใหญ่อยู่แล้ว (คิดเป็นร้อยละ 80) ได้แก่ กฎหมายที่มีอยู่ของกระทรวงแรงงาน กรมประมง กรมเจ้าท่า กรมการแพทย์ อาทิเช่น อายุขั้นต่ำ การตรวจสุขภาพ อัตรากำลัง ชั่วโมงพัก รายชื่อลูกเรือ สัญญาจ้างงาน การส่งแรงงานกลับจากท่าเรือในต่างประเทศ ไม่เก็บค่าบริการจัดหางานจากแรงงาน การจ่ายเงิน ที่พักอาศัยเหมาะสม อาหารน้ำดื่ม การดูแลรักษาการเจ็บป่วย ความปลอดภัยสุขภาพอนามัย การประกันสังคม เงินทดแทนการเจ็บป่วย-เสียชีวิตจากการทำงาน เป็นต้น หลายเรื่องที่ระบุในอนุสัญญา C188 จึงเป็นมาตรการที่ประเทศไทย ดำเนินการภายใต้หน่วยงานดังกล่าวอยู่แล้ว


004

รมว.แรงงาน กล่าวต่อว่า ปัจจุบัน ประเทศไทยกำลังประสบปัญหาขาดแคลนแรงงานในกิจการประมงทะเลจำนวนกว่า 53,000 คน เรื่องนี้รัฐบาลไม่เคยนิ่งนอนใจ และกระทรวงแรงงานเร่งดำเนินการ 3 มาตรการ ได้แก่ 1) ต่ออายุแรงงานต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตให้ทำงานในภาคประมงตามมาตรา 83 แห่งพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 ที่ผ่านการพิสูจน์สัญชาติแล้ว ออกไปอีก 2 ปี จนถึงวันที่ 30 ก.ย. 2563 ณ สำนักงานจัดหางาน 22 จังหวัดชายทะเล ซึ่งขณะนี้ มีนายจ้างมาทะเบียน 757 ราย แจ้งความต้องการแรงงาน 19,334 คน, 2) นำเข้าแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน และ 3) เปิดโอกาสให้แรงงานอื่นที่ยังอยู่ในประเทศสามารถมาขอขึ้นทะเบียนทำงานในกิจการประมงได้ เนื่องจากอาชีพประมงมักจะเป็นอาชีพสุดท้ายที่แรงงานจะเลือกทำ


Migrant workers work at the jetty in Samut Sakhon on the outskirts of Bangkok March 26, 2007. Survivors of a Thai fishing fleet left adrift in Indonesian waters without enough food or water, causing the deaths of 39 fishermen whose bodies were thrown overboard, sued the owner on Monday for unpaid wages. REUTERS/Darren Schuettler (THAILAND)

"การรับรองอนุสัญญาฯ 188 จะเป็นแรงดึงดูดใจให้แรงงานประมงไทยมั่นใจยิ่งขึ้นว่าจะได้รับการดูแล มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และขณะเดียวกัน ก็เป็นการสร้างมาตรฐานที่ชัดเจน อันจะทำให้ทั้งนายจ้างและลูกจ้างในภาคประมงมีความเข้าใจเกี่ยวกับสภาพการทำงานและการจ้างงานในภาคประมงที่ตรงกัน ทั้งหมดนี้จะส่งผลให้สินค้าไทยได้รับการยอมรับจากประชาคมโลก ว่า มีธรรมาภิบาล และเราผลิตสินค้าที่ไม่มีการใช้แรงงานเด็ก แรงงานบังคับ และการค้ามนุษย์ อันจะทำให้ในระยะยาว ผู้ประกอบการเองก็จะสามารถส่งออกสินค้าได้มากขึ้น โดยผมจะเดินทางไปให้สัตยาบันต่ออนุสัญญาฉบับนี้ด้วยตัวเอง คาดว่าจะสามารถยื่นอนุสัญญาฯ ได้ภายในปลายเดือน ม.ค. นี้" พล.ต.อ.อดุลย์ กล่าว


ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว