บทความนี้จะเป็นส่วนสุดท้ายของบทความไตรภาคชุด Brexit หลังจากที่ 2 บทความแรกได้นำเสนอเสียงสะท้อนของคนอังกฤษถึงปัญหาและผลที่ได้รับจากการโหวตแยกตัวออกจากการเป็นสมาชิกของ EU รวมถึงการพิจารณาว่าปรากฏการณ์นี้อาจจะเป็นโดมิโนตัวแรก ที่จะมาสั่นคลอนโครงสร้างการให้ความร่วมมือระดับภูมิภาค ที่หลายภูมิภาคทั่วโลกมีความพยายามจะเดินตามรอยของการรวมกลุ่มประเทศในแบบที่ EU ทำ
บทความนี้จะกลับมาพิจารณาถึงผลกระทบกับเศรษฐกิจที่มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นหลังจากที่ UK ได้แยกตัวจาก EU โดยสมบูรณ์แล้ว
หลังจากผลโหวตออกมาว่าประชาชนส่วนใหญ่ (52 %) ของ UK ประสงค์ที่จะให้ประเทศแยกตัวจากการเป็นสมาชิกของ EU ก็ไม่ได้หมายความว่าการแยกตัวนั้นจะมีผลโดยทันที เพราะกฎหมายกำหนดให้มีระยะเวลาในการดำเนินการเพื่อออกจากเป็นสมาชิกภาพภายใน 2 ปี ซึ่งระยะเวลาดังกล่าวจะสิ้นสุดลงในวันที่ 29 มีนาคม ค.ศ.2019 เว้นแต่ประเทศสมาชิกทั้ง 27 ประเทศ จะมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ยืดระยะเวลาในการดำเนินการดังกล่าวออกไปจนถึงเดือนธันวาคม ค.ศ.2020 แต่ไม่ว่าอย่างไร ดูเหมือนว่าสุดท้ายแล้ว UK ก็จะต้องพ้นจากการเป็นสมาชิกในไม่ช้านี้ เพราะเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีหญิงของ UK ได้ยืนยันอย่างหนักแน่นในสภาผู้แทนราษฎรของอังกฤษแล้วว่า จะไม่มีการเปิดให้มีการลงประชามติในเรื่องนี้อีก แม้จะได้รับการเรียกร้องจากหลายฝ่ายก็ตาม
ดังนั้นไม่ช้าก็เร็วการแยกตัวออกจาก EU ก็จะมีผลสมบูรณ์ แต่เมื่อแยกตัวมาแล้วนั้นจะมีผล กระทบกับเศรษฐกิจโลกมากน้อยเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับว่า การแยกตัวดังกล่าวเป็นการแยกตัวภายใต้ “ข้อตกลง” (with deal) หรือเป็นการแยกตัวแบบ “ไม่มีข้อตกลง” (with no deal)
การตัดสินใจว่าจะเป็นการแยกตัวในรูปแบบใดนั้น ต้องเข้าสู่การพิจารณาและลงคะแนนเพื่อให้ความเห็นชอบจากสภาฯ (house of commons) ก่อน ซึ่งหากปรากฏว่าการแยกตัวนั้นเป็นแบบมีข้อตกลง UK จะได้ประโยชน์ในการแยกตัวครั้งนี้เป็นอย่างมาก เพราะนั่นหมายความว่าหลังจากแยกตัวแล้ว รัฐบาล UK จะกลับมามีอำนาจในการกำหนดนโยบายของประเทศ สภาฯ จะมีอำนาจบัญญัติกฎหมายได้อย่างเป็นอิสระไม่ต้องคำนึงถึงการดำเนินการเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายหรือกฎหมายที่ผ่านสภาฯ ของ EU อีกต่อไป และอำนาจสูงสุดของศาลก็จะกลับคืนมาเพราะไม่ต้องอยู่ภายใต้กำกับดูแลจากศาลของ EU อีกต่อไปเช่นกัน
แถมข้อตกลงในทางการค้า ที่ UK มีความพยายามให้การค้าขายระหว่าง UK และ EU หลังจากที่ได้มีการแยกตัวแล้วนั้น ก็ยังคงให้ใช้ข้อกำหนดในทางการค้าแบบเดิม เสมือนว่า UK ยังเป็นหนึ่งในสมาชิกของ EU อยู่
เรื่องนี้ยังคงอยู่ในขั้นตอนของการเจรจา หากจะถามว่ามีความเป็นไปได้หรือ ที่ EU จะยอมให้เกิดการแยกตัวแบบมีข้อตกลงที่ UK จะได้ประโยชน์ในลักษณะนี้ ก็ต้องมาพิจารณากันว่า ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่าง UK และประเทศสมาชิกใน EU นั้นมีมากน้อยแค่ไหน
จากสถิติทางการค้าจะเห็นได้ว่า 44% ของสินค้า UK ส่งออกไปยังประเทศในกลุ่ม EU และ 51% ของสินค้านำเข้ามายัง UK นั้นเป็นสินค้าจากประเทศสมาชิกของ EU นั่นหมายความว่า หาก EU ปล่อยให้ UK แยกตัวออกไปโดยไม่มีข้อตกลงในเรื่องเกี่ยวกับการค้าไว้เลย หลายประเทศที่เป็นคู่ค้าใหญ่กับ UK อย่างเช่น เยอรมนี ฝรั่งเศส เบลเยียม และเนเธอร์แลนด์ ย่อมจะได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจหลังจากที่ UK แยกตัวออกไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากมองจากมุมนี้ผู้เขียนเห็นว่าพอมีความเป็นไปได้อยู่บ้างว่าข้อตกลงเกี่ยวกับเรื่องทางการค้าจะมีการจัดทำไว้ก่อนที่ UK จะแยกตัวออกไป
อย่างไรก็ตาม ในระหว่างการเจรจาเพื่อทำข้อตกลงก่อนแยกตัวนั้น ยังได้มีการเจรจาไป ถึงเรื่องอื่นๆ ด้วย ซึ่งเรื่องที่เป็นประเด็นใหญ่ที่สุดน่าจะเป็นเรื่องการปิดพรมแดนระหว่างไอร์แลนด์ เหนือกับไอร์แลนด์ UK มีท่าทีที่ชัดเจนว่าไม่เห็นด้วยเกี่ยวกับข้อเสนอของ EU ในเรื่องนี้ซึ่งถือว่าเป็นส่วนหนึ่งในความตกลงก่อนที่จะแยกตัวด้วย จากประเด็นนี้ก็มีความเป็นไปได้เช่นกันที่อาจส่งผลให้การแยกตัวนั้นเกิดขึ้น โดยไม่มีข้อตกลงกับ EU เลย หากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นจริงๆ แน่นอนว่าประเทศที่จะประสบปัญหาใหญ่หลวงและได้รับผล กระทบเป็นประเทศแรกก็คงไม่พ้นตัวของ UK เอง
ภาคธุรกิจใน UK ได้ประเมินไว้ว่ากว่า 70% ของภาคธุรกิจใน UK จะได้รับความเสียหายจากการแยกตัวครั้งนี้ เพราะจากสถิติแล้ว 1 ใน 10 ของงานใน UK นั้นมีความเกี่ยวข้องกับการทำการค้ากับประเทศในกลุ่ม EU และปัจจุบัน 61% ของธุรกิจขนาดเล็กของ UK ก็ส่งสินค้าออกไปยัง EU ดังนั้นหากสภาฯ ของ UK เลือกที่แยกตัวออกมาโดยไม่มีข้อตกลงใดๆ เลยกับ EU ซึ่งแน่นอนว่าการค้าขายทั้งหมดหลังจากแยกตัว UK เมื่อเป็นประเทศนอกกลุ่มแล้ว การได้สิทธิทางภาษีศุลกากรในฐานะประเทศสมาชิกก็ย่อมหมดไป นอกจากนี้ยังต้องเผชิญกับอุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่เรื่องภาษีศุลกากร (non-tariff barrier) อีก
จากทั้ง 2 ประเด็นที่กล่าวมาย่อมทำให้มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งที่จะก่อให้เกิดผลกระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ที่ไม่จำกัดไว้แต่เพียงมีผลต่อ UK เท่านั้น หากแต่ยังส่งผลกระทบต่ออีก หลายประเทศที่เป็นสมาชิกของ EU ด้วย ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น
ดังนี้ หาก UK แยกตัวจาก EU โดยไม่มีข้อตกลงใดๆ เลย (with no deal) มีความเป็นไปได้ว่าจะเกิดวิกฤติทางเศรษฐกิจในระบบเศรษฐกิจโลก เพราะโลกของการค้าและการลงทุนในปัจจุบัน หากมีที่ใดที่หนึ่งเสียเสถียรภาพความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างมาก ซึ่งตัวเลขด้านบนที่เกี่ยวกับการค้าระหว่าง UK กับ EU แสดงให้เห็นแล้วว่าหาก UK แยกตัวออกไปโดยไม่มีข้อตกลงนั้น มีความเป็นไปได้อย่างสูงที่การตัดสินใจดังกล่าวจะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญและนำไปสู่การก่อให้เกิดวิกฤติทางเศรษฐกิจได้