Blockchain กำลัง "ปฏิวัติเงียบ" ... เพิ่มอำนาจประชาชน

29 พ.ย. 2561 | 04:36 น.
291161-1111 S__9306118

... ความวุ่นวายของการกำกับดูแลจากภาครัฐ และการบังคับใช้กฎหมายของประเทศทั่วโลกกำลังจะพบกับ "ทางตัน" ซึ่งนักอนาคตศาสตร์และนักวิทยาศาสตร์หลายท่านได้เคยคาดการณ์ไว้มาก่อนเป็นระยะเวลานานกว่า 10–20 ปีมาแล้ว ซึ่งในขณะนั้น ประชากรโลกยังมีจำนวนไม่มากที่ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ ไม่เหมือนกับในวันนี้ที่มีถึง 70% ของประชากรโลกแล้ว

Blockchain เป็นเทคโนโลยีที่กำลังทำให้ทุกอุตสาหกรรมต้องกลับมาคิดกระบวนการการทำธุรกรรมใหม่ทั้งหมด จนอาจทำให้ระบบนิเวศของธุรกิจทั้งหมดอาจจะต้องเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกผัน (Disruption) ทั้งนี้ เนื่องจาก Blockchain จะทำให้ตัวกลางถูกกำจัดออกไปจากระบบ ด้วยการที่สมาชิกหรือผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดจะได้รับหลักฐานการทำธุรกรรมตลอดเวลาอย่างอัตโนมัติและ Realtime จึงทำให้ฐานข้อมูลที่เก็บหลักฐานทางธุรกรรมอยู่กับคอมพิวเตอร์ หรือ ระบบสื่อสารเคลื่อนที่ของสมาชิก หรือ ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกคนนั่นเอง

 

[caption id="attachment_354644" align="aligncenter" width="503"] ©Pixabay ©Pixabay[/caption]

การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่และถอนรากถอนโคนครั้งนี้ โดย Blockchain จะนำโลกเข้าสู่อุตสาหกรรม 4.0 (Industry 4.0) รวดเร็วยิ่งขึ้น จนนักอนาคตศาสตร์และนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงหลายท่านได้ให้ความเห็นว่า ห้วงเวลา 5 ปีจากนี้ไป เราจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในอุตสาหกรรมการเงินการธนาคาร, อุตสาหกรรมสื่อ, อุตสาหกรรมโทรคมนาคม และอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ที่จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างเร็วที่สุด จนทำให้หน่วยงานกำกับดูแลและผู้ที่ทำหน้าที่บัญญัติกฎหมายจะทำหน้าที่อย่างยากยิ่งด้วยวิธีคิดแบบเดิม ๆ

การพลิกผัน (Disruption) ครั้งนี้ ที่ทำให้คุณค่า (Value) ที่โลกยอมรับได้ เปลี่ยนไปจากคุณค่าที่มีรูปแบบกายภาพไปสู่คุณค่าที่มีรูปแบบดิจิทัลที่จับต้องไม่ได้ จนกฎหมายเดิม ๆ จะหมดสภาพ ไม่สามารถนำมาบังคับใช้ได้ และการเก็บภาษีจะประสบปัญหายากยิ่งจนเกิดวิกฤตการณ์ในระดับวิธีคิด (Mindset) ของภาครัฐอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน จนทำให้รัฐและหน่วยงานกำกับดูแลต้องยอมรับที่จะต้องปรับเปลี่ยนกฎหมายให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของโลกใหม่ในที่สุด

 

[caption id="attachment_354646" align="aligncenter" width="503"] ©rawpixel.com ©rawpixel.com[/caption]

ถึงแม้ว่าจะพยายามต้านทานและบังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่เดิมมากำกับดูแลอุตสาหกรรมภายใต้กำกับดูแลก็จะทำได้ยากยิ่ง จนอาจทำได้เพียงยืนงงและจะทำให้ความเสื่อมถอยในอุตสาหกรรมเดิม ๆ เช่น อุตสาหกรรมสื่อและการเงินการธนาคาร เริ่มปรากฏชัดขึ้น จนไม่สามารถต้านทานได้ในที่สุดเช่นกัน และจะลุกลามต่อไปยังอุตสาหกรรมพลังงานในลำดับต่อไป สิ่งที่เริ่มปรากฏชัดแล้ว เช่น พฤติกรรมการใช้โทรศัพท์ของประชาชนที่ใช้ Social Media เป็นเครื่องมือสื่อสารแทนการใช้ผ่านบริษัทผู้ประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนที่ หรือ การต่อสู้การใช้เงินเสมือน (Virtual Currency) ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบ Cryptocurrency หรือ รูปแบบอื่น ๆ

เราจะพบอย่างแน่นอนว่า การหยุดยั้งการใช้ Cryptocurrency อาจทำได้ในช่วงเวลาหนึ่ง แต่การหยุดยั้งเทคโนโลยี Blockchain ที่อยู่เบื้องหลังการทำงานของมัน เราจะไม่สามารถหยุดยั้งมันได้เลย เพราะมันกำลังทำงานอยู่บนเครื่องคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้คนทั่วโลกนับล้านเครื่อง ซึ่งถ้าเราต้องการทำลายมัน เราจะต้องทำลายระบบอินเทอร์เน็ตทั้งหมด โดยอันที่จริงเป็นไปแทบไม่ได้และมันจะยิ่งทรงพลังตามการพัฒนาที่ก้าวกระโดดตามกฎของมัวร์ (Moore’s Law) ซึ่งมันเป็นคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ที่ไม่ใช่มาจากการจินตนาการ

 

[caption id="attachment_354647" align="aligncenter" width="503"] ©David McBee ©David McBee[/caption]

ประเด็นความขัดแย้งที่เกิดขึ้นทั่วโลกในเรื่อง Cryptocurrency หรือ Bitcion นั้น ถือว่าเป็นประเด็นเล็ก ๆ ที่เริ่มต้นขึ้นจากนักคณิตศาสตร์และนักพัฒนาซอฟต์แวร์ที่มีความชาญฉลาด ที่ได้เสนอแนวคิดที่นักพัฒนาซอฟต์แวร์ทุกคนต้องตกใจและประทับใจในความฉลาดหลักแหลมที่บังอาจมาท้าทายอำนาจรัฐทั่วโลก ด้วยความงุนงงมาตั้งแต่ปี 2008 ซึ่งถือว่าเป็นเวลาถึง 10 ปีมาแล้ว และมันยังคงยืนหยัดท้าทายโลกที่ดูเหมือนจะคว่ำมันไม่ลงเสียที

Blockchain ที่อยู่เบื้องหลังการทำงานของ Cryptocurrency กำลังก้าวเข้าไปสู่การพัฒนาแบบก้าวกระโดดอีกระดับหนึ่งที่ไม่เหมือน Blockchain ในปี 2008 แล้ว ทั้งนี้ เพราะการเขียนซอฟต์แวร์ในปัจจุบันส่วนใหญ่ได้นำเอาหลักการทำงานของ Blockchain มาใช้เป็นพื้นฐานสำคัญทั้งสิ้น อีกทั้งการเขียนซอฟต์แวร์ได้ทำในลักษณะการเสนอขึ้นบนชุมชนนักเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ทั่วโลก ที่สามารถเข้ามาช่วยกันเติมแต่งและพัฒนาซอฟต์แวร์ดังกล่าวด้วยการใช้งาน Vote เพื่อหามติในการแก้ไขหรือไม่แก้ไข โดยนักเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์เหล่านี้ถือว่าเป็นสุดยอดคนชั้นแนวหน้าของวงการทั้งสิ้น จึงทำให้การพัฒนาก้าวกระโดดอย่างรวดเร็วจนเกิดการ Disruption ในทุกอุตสาหกรรมและไม่มีใครหยุดยั้งได้

291161-1117
ลองคิดดูว่า หากคนระดับมันสมองสุดยอดมาพบกัน พวกเขาจะสร้างและพัฒนาระบบซอฟต์แวร์ Blockchain อัจฉริยะขึ้นมาได้ในระดับใด ซึ่งชัดเจนแล้วว่า พวกเขาเหล่านั้นกำลังคิดการใหญ่ ซึ่งกำลังนำเสนอ Business Model ที่ต้องการให้องค์กรทำงานด้วยตัวเองตามที่ได้ถูกโปรแกรมไว้ โดยพวกเขาเรียกมันว่า "Decentralized Autonomous Organization" หรือ DAO ซึ่งทำให้องค์กรจะมีจำนวนคนทำงานอยู่น้อยมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์กรด้านการเงินการธนาคารที่มีธุรกิจหลัก คือ การบริการในการทำธุรกรรมทางการเงินที่มีกระบวนการที่ชัดเจน ไม่ต้องใช้ดุลยพินิจในการทำธุรกรรม (ซึ่งจริง ๆ แล้วไม่ต้องใช้คนทำก็ได้) ซึ่งจะถูกแทนด้วยระบบ DAO ทั้งหมด แต่ในส่วนที่ต้องใช้ประสบการณ์และศิลปะก็ยังอาจใช้คนทำงานอยู่เช่นเดิม ซึ่งอาจจะมีจำนวนคนไม่มากเช่นที่เคยเป็นมาในอดีต

ความทรงพลังของ DAO ไม่ใช่เพียงแต่มันทำงานได้รวดเร็วแบบ Realtime เท่านั้น แต่มันยังโปร่งใสกว่าการทำงานด้วยคน และตรวจสอบได้จากคนที่เกี่ยวข้องทุกคน จนเราไม่สามารถปฏิเสธมันได้ โดยผลกระทบที่รุนแรงกำลังวิ่งเข้ามาแล้วที่ชัดเจนขึ้นเป็นลำดับในอุตสาหกรรมการเงินการธนาคาร ซึ่งมีแนวโน้มว่า เราจะไม่เห็นการทำธุรกรรมรูปแบบในวันนี้อีกแล้วภายใน 3–5 ปีข้างหน้านี้ และมันกำลังเข้ามามีผลกระทบอย่างต่อเนื่องในทุกอุตสาหกรรม

 

[caption id="attachment_354649" align="aligncenter" width="503"] ©David McBee ©David McBee[/caption]

อีกปรากฏการณ์ที่จะเกิดขึ้น คือ บริษัทที่ทำ Cryptocurrency และเทคโนโลยี Blockchain ก็เริ่มนำเสนอระบบการโหวตด้วยการใช้ App บนโทรศัพท์สมาร์ทโฟน (Blockchain Voting System) แล้ว ซึ่งในปัจจุบันมีหลายประเทศเริ่มทดลองใช้แล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา, ญี่ปุ่น, เซียร์ราลีโอน, สวิสแลนด์ และอีกหลายประเทศ ซึ่งคาดว่าจะได้รับการยอมรับแพร่หลายในภาคเอกชนและสังคมเครือข่าย Social Media จนจะทำให้สถาบันและบริษัททำโพลรูปแบบดั้งเดิมจะเริ่มหมดสภาพและไม่ได้รับความน่าเชื่อถือเหมือนที่ผ่านมาในอดีต

จากการทำโพลจากภาคประชาชนที่จะเริ่มเกิดขึ้นในคนรุ่น Gen Y และ Gen Alpha จะทำให้การสื่อสารระหว่างประชาชนกับผู้บริหารประเทศเกิดขึ้นโดยตรงมากขึ้นด้วย Social Media โดยมีการเชื่อมโยงกันอย่างหนาแน่นและ Realtime ซึ่งจะมีความลึกซึ้งกว่าที่เห็นกันในวันนี้อย่างมาก จนทำให้แนวคิด "Future Government" ที่อำนาจรัฐจะลดลงและอำนาจประชาชนจะเพิ่มขึ้น ตามการพัฒนาทางเทคโนโลยีจะเกิดขึ้นจริงในทศวรรษจากนี้ไป


……………….
บทความพิเศษ โดย พันเอก ดร.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ อดีตรองประธานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และในฐานะโฆษกพรรคภูมิใจไทย

ประวัติ Dr.Settapong Malisuwan


เพิ่มเพื่อน
ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว