ม.หอการค้า แนะให้ SMEs ตจว. เข้าถึง "ช็อปช่วยชาติ" เพื่อประโยชน์แท้จริง
มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย แนะรัฐควรออกมาตรการ "ช็อปช่วยชาติ" ครอบคุลมถึงเอสเอ็มอีในพื้นที่ต่างจังหวัด ไม่จำกัดกรอบแค่ธุรกิจขนาดใหญ่ ชี้! เศรษฐกิจมีสัญญาณรอการฟื้นตัวที่โดดเด่น
ผศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย รองอธิการบดีอาวุโสวิชาการและงานวิจัยและผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ในการออกมาตรการช็อปช่วยชาติของรัฐบาลปีนี้นั้น มองว่า ควรให้ครอบคลุมกลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอี (SMEs) และกลุ่มธุรกิจทั่วไปได้รับประโยชน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่อยู่ในพื้นที่ต่างจังหวัด เพราะปัญหาเศรษฐกิจไทยเป็นปัญหาที่มาจากเศรษฐกิจต่างจังหวัด หรือ เศรษฐกิจที่พึ่งพิงสินค้าเกษตรเป็นหลัก
ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยในปัจจุบันนั้น กลุ่มผู้ประกอบการที่เป็นระดับผู้ส่งออก หรือ กลุ่มธุรกิจทั่วไปที่มีขนาดกลางและขนาดใหญ่ โดยเฉพาะในพื้นที่หัวเมือง น่าจะประครองตัวได้ แต่ธุรกิจที่ขาดสภาพคล่องส่วนใหญ่จะอยู่ในพื้นที่ต่างจังหวัด โดยเป็นธุรกิจเอสเอ็มอีและเป็นธุรกิจที่พึ่งพิงสินค้าเกษตร ดังนั้น จึงควรมีมาตรการช็อปช่วยชาติที่ให้ทุกคนเข้าถึงมาตรการ ไม่ว่าจะเป็น การเพย์เม้นท์ของบัตรสวัสดิการคนจน หรือจะเป็นการให้โอกาสธุรกิจที่เปิดให้มีการกำกับภาษี โดยกรอบเหล่านี้น่าจะเป็นประโยชน์กับฐานภาษีและต่อฐานการพัฒนาประเทศให้ทุกคนเข้าไปอยู่ในกรอบได้
"เชิงเศรษฐกิจตอนนี้สัญญาณเศรษฐกิจจากที่ ม.หอการค้า ทำการสำรวจทั่วประเทศ ความสามารรถของผู้บริโภคมีการปรับตัวเป็นบวกมา 2-3 เดือนติดต่อกัน และที่สำคัญทิศทางการรอฟื้นตัวของเศรษฐกิจมีสัญญาณที่โดดเด่นขึ้น เพราะมีสัญญาณของการชะลอตัวในไตรมาสที่ 3 ดังนั้น มาตรการช็อปช่วยชาติควรจะให้เอสเอ็มอีและธุรกิจทั่วไปได้รับผลประโยชน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในต่างจังหวัด"
สำหรับวิธีในการดำเนินการนั้น หากเป็นกรอบเฉพาะที่เป็นร้านสวัสดิการคนจนก็ควรจะเป็นกรอบเท่านั้น หรือ หากเป็นกรอบเฉพาะใบกำกับภาษี ก็ควรจะเปิดช่องให้เอสเอ็มอีได้เข้าไปยื่นใบกำกับภาษีได้ง่ายขึ้น โดยควรจะเป็นสินค้าโดยทั่วไป ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นสินค้าเกษตร หรือ หากเป็นทางด้านการท่องเที่ยว ก็จะต้องเป็นการท่องเที่ยวโดยทั่วไปและไม่จำกัดเฉพาะธุรกิจขนาดกลางจนถึงขนาดใหญ่ แต่ขนาดเล็กก็สามารถเข้าถึงได้ หรือจะกล่าวง่าย ๆ ก็คือ ไม่กำกับภาษีอาจจะไม่จำเป็นต้องเป็นแบบเต็มรูปแบบ
"มาตรการช็อปช่วยชาติที่ได้ประโยชน์อย่างแท้จริง จะต้องไม่จำกัดกรอบอยู่เพียงแค่ธุรกิจขนาดใหญ่ แต่ควรจะเปิดโอกาสให้เอสเอ็มอีได้เข้าถึงด้วย"
ผศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย รองอธิการบดีอาวุโสวิชาการและงานวิจัยและผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ในการออกมาตรการช็อปช่วยชาติของรัฐบาลปีนี้นั้น มองว่า ควรให้ครอบคลุมกลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอี (SMEs) และกลุ่มธุรกิจทั่วไปได้รับประโยชน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่อยู่ในพื้นที่ต่างจังหวัด เพราะปัญหาเศรษฐกิจไทยเป็นปัญหาที่มาจากเศรษฐกิจต่างจังหวัด หรือ เศรษฐกิจที่พึ่งพิงสินค้าเกษตรเป็นหลัก
ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยในปัจจุบันนั้น กลุ่มผู้ประกอบการที่เป็นระดับผู้ส่งออก หรือ กลุ่มธุรกิจทั่วไปที่มีขนาดกลางและขนาดใหญ่ โดยเฉพาะในพื้นที่หัวเมือง น่าจะประครองตัวได้ แต่ธุรกิจที่ขาดสภาพคล่องส่วนใหญ่จะอยู่ในพื้นที่ต่างจังหวัด โดยเป็นธุรกิจเอสเอ็มอีและเป็นธุรกิจที่พึ่งพิงสินค้าเกษตร ดังนั้น จึงควรมีมาตรการช็อปช่วยชาติที่ให้ทุกคนเข้าถึงมาตรการ ไม่ว่าจะเป็น การเพย์เม้นท์ของบัตรสวัสดิการคนจน หรือจะเป็นการให้โอกาสธุรกิจที่เปิดให้มีการกำกับภาษี โดยกรอบเหล่านี้น่าจะเป็นประโยชน์กับฐานภาษีและต่อฐานการพัฒนาประเทศให้ทุกคนเข้าไปอยู่ในกรอบได้
"เชิงเศรษฐกิจตอนนี้สัญญาณเศรษฐกิจจากที่ ม.หอการค้า ทำการสำรวจทั่วประเทศ ความสามารรถของผู้บริโภคมีการปรับตัวเป็นบวกมา 2-3 เดือนติดต่อกัน และที่สำคัญทิศทางการรอฟื้นตัวของเศรษฐกิจมีสัญญาณที่โดดเด่นขึ้น เพราะมีสัญญาณของการชะลอตัวในไตรมาสที่ 3 ดังนั้น มาตรการช็อปช่วยชาติควรจะให้เอสเอ็มอีและธุรกิจทั่วไปได้รับผลประโยชน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในต่างจังหวัด"
สำหรับวิธีในการดำเนินการนั้น หากเป็นกรอบเฉพาะที่เป็นร้านสวัสดิการคนจนก็ควรจะเป็นกรอบเท่านั้น หรือ หากเป็นกรอบเฉพาะใบกำกับภาษี ก็ควรจะเปิดช่องให้เอสเอ็มอีได้เข้าไปยื่นใบกำกับภาษีได้ง่ายขึ้น โดยควรจะเป็นสินค้าโดยทั่วไป ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นสินค้าเกษตร หรือ หากเป็นทางด้านการท่องเที่ยว ก็จะต้องเป็นการท่องเที่ยวโดยทั่วไปและไม่จำกัดเฉพาะธุรกิจขนาดกลางจนถึงขนาดใหญ่ แต่ขนาดเล็กก็สามารถเข้าถึงได้ หรือจะกล่าวง่าย ๆ ก็คือ ไม่กำกับภาษีอาจจะไม่จำเป็นต้องเป็นแบบเต็มรูปแบบ
"มาตรการช็อปช่วยชาติที่ได้ประโยชน์อย่างแท้จริง จะต้องไม่จำกัดกรอบอยู่เพียงแค่ธุรกิจขนาดใหญ่ แต่ควรจะเปิดโอกาสให้เอสเอ็มอีได้เข้าถึงด้วย"
