โยก "DDD" 5 แสนหุ้น ขายให้ 'ปิยวัชร'

22 พ.ย. 2561 | 01:38 น.
"ซีอีโอ DDD" ขายหุ้นให้ "ปิยวัชร ราชพลสิทธิ์" จำนวน 0.28% มูลค่า 15.5 ล้านบาท ตั้งเป้าเติบโตต่อเนื่อง คาดรายได้ปี 62 เติบโตไม่ตํ่ากว่า 20%

นายสราวุฒิ พรพัฒนารักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดู เดย์ ดรีม จำกัด (มหาชน) หรือ DDD เจ้าของแบรนด์ผลิตภัณฑ์สเนลไวท์ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 16 พ.ย. 2561 ที่ผ่านมา ได้ขายหุ้นบางส่วนให้ นายปิยวัชร ราชพลสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานบัญชีและการเงิน DDD จำนวน 5 แสนหุ้น โดยมีมูลค่ารวมอยู่ที่ 15.50 ล้านบาท (ราคา 31 บาทต่อหุ้น อ้างอิงราคาปิดวันที่  15 พ.ย. 2561) หรือคิดเป็น 0.28% ของจำนวนหุ้นเดิมที่ถืออยู่ เนื่องจากเชื่อมั่นพื้นฐานธุรกิจยังแข็งแกร่งและมีโอกาสเติบโตได้ดีในอนาคต

สำหรับสาเหตุในการขายหุ้นบางส่วนให้แก่ผู้บริหาร เพราะว่าผู้บริหารมีความเชื่อมั่นถึงการเติบโตในอนาคต และชี้แจงว่า ได้มีการพูดคุยเรื่องการขายหุ้นกับผู้บริหารมาสักระยะหนึ่งแล้ว โดยได้มองว่า การซื้อขายหุ้นดังกล่าวเป็นการสร้างแรงจูงใจในการบริหารงานกับผู้บริหารที่สำคัญ ซึ่งน่าจะส่งผลดีต่อภาพรวมของบริษัท

 

[caption id="attachment_350748" align="aligncenter" width="286"] สราวุฒิ พรพัฒนารักษ์ สราวุฒิ พรพัฒนารักษ์[/caption]

นอกจากนี้ บริษัทยังคาดว่า รายได้ปี 2562 จะเติบโตกว่า 20% จากปี 2561 หลังจากธุรกิจของบริษัทเจอความท้าทายอย่างต่อเนื่องในปี 2561 โดยปัจจัยการเติบโตในปี 2562 มาจากการขยายช่องทางการจัดจำหน่าย โดยเฉพาะช่องทางการขายแบบดั้งเดิม (Traditional Trade) ซึ่งคาดว่าจะสามารถเพิ่มจุดจำหน่ายสินค้าได้มากขึ้น โดยเน้นการกระจายสินค้าเข้าไปในภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นที่แรก ซึ่งบริษัทได้เริ่มเข้าไปทำการตลาดตั้งแต่ไตรมาส 3/2561 รวมทั้งยังเพิ่มการสื่อสารกับกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย เพื่อจูงใจในการซื้อสินค้า สำหรับการขยายธุรกิจในต่างประเทศ ซึ่งล่าสุด ได้จัดตั้งบริษัท Do Day Dream KCA Corporation ที่ประเทศฟิลิปปินส์ โดยหลังจากเริ่มเข้าไปทำการตลาดเมื่อช่วงปลายเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา เห็นว่าผลิตภัณฑ์สเนลไวท์ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค ซึ่งคาดว่า ในปี 2562 บริษัทจะมีรายได้จากประเทศฟิลิปปินส์กว่า 100 ล้านบาท

ด้าน นายปิยวัชร ราชพลสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานบัญชีและการเงิน DDD กล่าวกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า การซื้อหุ้นในครั้งนี้ได้มีการหารือกับผู้ถือหุ้นใหญ่มาระยะหนึ่ง เพราะเห็นการเติบโตในอนาคตของบริษัท จึงอยากเข้ามามีส่วนร่วม โดยเมื่อรวมกับของเดิมแล้วเป็น 5.6 แสนหุ้น หรือคิดเป็น 0.25%

"ธุรกิจบริษัทในปีนี้ แม้จะได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก ทั้งการชะลอของนักท่องเที่ยวและกรณีที่สกินแคร์แหล่งขายส่งขนาดใหญ่ (ตลาดใหม่ดอนเมืองและห้วยขวาง) ถูกปิด อีกทั้งการส่งออกไปจีนชะลอลง ทำให้รายได้ของบริษัท 9 เดือน ลดลง 20% หรืออยู่ที่ 1,000 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว แต่มั่นใจว่า บริษัทจะผ่านจุดตํ่าสุดและเติบโตตั้งแต่ไตรมาส 4/61 เป็นต้นไป"


หน้า 17 -18 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 38 ฉบับที่ 3,420 วันที่ 22-24  พฤศจิกายน 2561

595959859