"คุมวินัยการเงิน" ภูมิคุ้มกันธุรกิจ ... ก้าวต่ออย่างเข้มแข็ง

23 พ.ย. 2561 | 03:10 น.
ตระกูลเก่าแก่ที่บุกเบิกธุรกิจในภูเก็ต อย่าง "ถาวรว่องวงศ์" ซึ่งต้นตระกูล "อ๋องซิมผาย" อพยพจากเมืองจีน เข้ามาปักหลักสร้างธุรกิจเหมืองแร่ สวนยางพารา จนมาถึงการบุกเบิกลงทุนธุรกิจโรงแรม เมื่อกว่า 60 ปีที่แล้ว ของทายาทในรุ่นต่อ ๆ มา ก็นับว่าเป็นอีกหนึ่งตระกูลของเศรษฐีภูเก็ตที่ติดกับดักวิกฤตต้มยำกุ้ง ปี 2540 จากภาระหนี้สินเกือบ 4 พันล้านบาท ธุรกิจที่ขาดสภาพคล่องอย่างหนัก แต่วันนี้ภายใต้การบริหารของ "เลิศ ถาวรว่องวงศ์" กรรมการบริหารโรงแรมในเครือ "ถาวร โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท" เจเนอเรชัน 4 ก็สามารถพลิกวิกฤติที่ผ่านมา จนผ่านมรสุมได้สำเร็จ ด้วยวัยเพียง 28 ปี

คุณเลิศ เปิดใจว่า ผมจำได้เลยว่า ตอนนั้นผมอายุราว 7 ขวบ ช่วงไทยมีวิกฤติต้มยำกุ้ง กว่า 20 ปี ที่ต้องเห็นคุณพ่อ ไปนั่งประนอมหนี้มาเกือบทั้งชีวิต จนผมเรียนจบจากสหรัฐอเมริกา กลับมาเมื่อปี 2557 เพื่อมารับช่วงต่อในการบริหารธุรกิจ ตอนนั้นก็ยังเหลือหนี้อีกเกือบ 3 พันล้านบาท เป็นเงินต้นร่วม 2 พันล้านบาท อีกกว่า 1 พันล้านบาท เป็นดอกเบี้ยทบต้น

 

[caption id="attachment_350612" align="aligncenter" width="335"] 2 (2 of 10) เลิศ ถาวรว่องวงศ์[/caption]

ขณะที่ ธุรกิจโรงแรมที่เป็นรายได้ พอมีเงินเข้ามาก็ไปจ่ายดอกเบี้ย ส่วนธุรกิจตัวที่ไม่เกิดรายได้ก็เป็นหนี้เสียไป ผมก็มองว่า ถ้าทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ธุรกิจที่เรามีรายได้ก็จะไม่มีเงินหมุนเวียนมาปรับปรุง โรงแรมโทรมลงทุกวัน ต่อไปก็อยู่ยาก แล้วอาจทำให้กลายเป็นหนี้เสีย "เกิดวงจรอุบาทว์ ไม่มีวันที่เราจะกลับคืนมาได้" แล้วหน้ามันก็จะเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมไปอีก

ตอนผมเข้ามาบริหารธุรกิจ อายุ 24 ปี การเข้ามารับช่วงต่อธุรกิจท่ามกลางภาระหนี้เยอะ สภาพคล่องยํ่าแย่ เฉพาะธุรกิจโรงแรมที่ทำรายได้ริมหาด 2 แห่ง คือ "ถาวร บีช วิลเลจ รีสอร์ท แอนด์ สปา ภูเก็ต" และ "ถาวร ปาล์ม บีช รีสอร์ท" มีพนักงานกว่า 600 คน อัตราการเข้าพักของลูกค้าอยู่ที่ 9% มีเงินในบัญชีอยู่ 5 ล้านบาท ยอมรับว่า เสียวสันหลังทุกวัน ระทึกทุกวัน ว่า จะอยู่อย่างไร โรงแรมก็โทรมมาก

สิ่งที่ผมมอง คือ ต้องหาวิธีขายทรัพย์สินให้เร็วที่สุด ซึ่งการขายทรัพย์สินเป็นเรื่องที่ยากมาก ในอดีต คุณปู่จะมีอีโก้ ไม่ยอมให้คุณพ่อขายทรัพย์สิน ไม่อยากเสียหน้า ต้องสู้ถึงที่สุด และเมื่อถึงเวลาที่ผมต้องเข้ามาดูแลธุรกิจ เพราะคุณพ่อก็อายุมากขึ้นแล้ว ตอนนั้นผมก็คุยกับคุณพ่อ ว่า "เราอยู่ในช่วงที่แย่ที่สุดแล้ว ถ้าป๋าอยากให้ลูกกลับมาทำต่อ ขออย่างหนึ่งว่า ขอให้ตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นให้หมด ถ้าป๋ายังไม่ให้ตัดออก ป๋าก็จะเป็นเจเนอเรชันสุดท้ายที่ทำธุรกิจนี้ แต่ถ้าป๋าคิดจะเปลี่ยน ผมก็จะยืนเคียงข้างป๋า ทำต่อให้มันอยู่ได้"


Thavorn_2 (1)

เมื่อท่านยอม เราก็ตัดขายทรัพย์สินที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ซึ่งก็เสียที่ดินในเมืองไปหลาย 10 ไร่ อยู่เหมือนกัน เจรจากับธนาคารแฮร์ฮัตหนี้ ช่วง 1-2 ปีแรก ก็ตัดภาระหนี้ไปได้เกือบ 1.8 พันล้านบาท จากนั้นผมก็ขลุกตัวอยู่ที่โรงแรมเหมือนเป็นบ้านตัวเอง เข้ามาดูทุกอย่าง เดินหาเซลล์เอง ซึ่งจากสภาพโรงแรมตอนนั้นมันโทรมมาก ขายห้องราคา 1,700 บาท ก็ยอม ปล่อยไป แต่ขอให้เขาจ่ายเงินเราก่อน ให้ผมพอมีการบริหารจัดการเงินสดได้

จากนั้นก็มามองเรื่องของการตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นในโรงแรม ผมปิดห้องอาหารจาก 5 ห้อง เหลือเปิด 2 ห้อง ของใช้ภายในโรงแรมทั้งหมด ผมคุยกับซัพพลายเออร์เอง รู้ราคาทั้งหมด รู้ว่าต้นทุนที่เกิดขึ้นจริงในการให้บริการลูกค้าในแต่ละห้องของโรงแรมเป็นเท่าไหร่ กระทั่งของใช้ในห้องนํ้าราคา 3 บาท ผ้าปูเตียงถ้าซักจะตกอยู่ที่ 15 บาท หลอดไฟ 6 วัตต์ ราคา 200 บาท ผมดีลเองทั้งหมด ผมเดินหน้าปฏิวัติระบบการเงินของบริษัท เริ่มทำงบกระแสเงินสดละเอียดมากขึ้น จนเราค่อย ๆ เพิ่มกระแสเงินสดเข้ามาจนมั่นคง เพียงพอต่อการบริหารจัดการโรงแรม ปรับปรุงโรงแรมตามความเหมาะสม และตลอดช่วง 5 ปีที่ผมเข้ามาบริหาร ก็ทำให้ปีนี้ธุรกิจของเรามีกำไรครั้งแรกในรอบ 20 ปี มีรายได้กว่า 515 ล้านบาท ถือว่าสูงสุดนับแต่ดำเนินธุรกิจมา มีอัตราการเข้าพักของลูกค้าเพิ่มเป็น 91%

ทั้งยังมีกำลังที่จะทยอยใช้หนี้ได้ อย่างล่าสุด ก็จ่ายหนี้ก่อนกำหนดไปกว่า 70 ล้านบาท ตอนนี้เราเลยถูกจัดว่าเป็นลูกหนี้ที่ดี จากเดิมที่เขาบอกห่วยแตกที่สุดในภูเก็ต การทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ หนี้ก็จะลดน้อยลงไปมาก ผมมองว่า ตอนนี้เราเหลือหนี้อยู่ราว 1 พันล้านบาท ในอีก 3 ปีนี้ ก็จะเหลือ 400-500 ล้านบาท ไม่ช้าก็จะหมดปัญหาในเรื่องนี้

 

[caption id="attachment_350125" align="aligncenter" width="335"]  เพิ่มเพื่อน [/caption]

วันนี้รู้สึกชิลมาก ไม่ต้องมานั่งลุ้นระทึกเสียวสันหลังเหมือนเมื่อก่อน เพราะตอนนี้เรามีเงินสดที่เป็นสภาพคล่องแตะ 200 ล้านบาท ไม่ใช่แค่ 5 ล้านบาท เหมือนตอนผมเข้ามารับดูแลธุรกิจใหม่ ๆ รู้ว่าจะบริหารกระแสเงินสดที่จะลงทุนทำอะไรไปในโรงแรม ต้องได้รายได้กลับคืนมาอย่างคุ้มค่า ทำให้วันนี้ผมเริ่มแผนสำหรับการขยายธุรกิจในอนาคตได้ แล้ว หลังปลดหนี้ได้หมดในอีกไม่กี่ปีนี้ และต้องเป็นการลงทุนแบบมีสติ

ในช่วง3-4 ปีข้างหน้า ก็มองว่าจะพัฒนาโรงแรมถาวรที่อยู่ในเมือง โรงแรมเก่าแก่ของเราที่ไม่เคยปรับปรุงเลย ให้เป็นแลนด์มาร์กใหม่ ทั้งเรายังมีอสังหาริมทรัพย์อีกราว 400 ไร่ ในตัวเมืองภูเก็ต ที่ให้คนอื่นเช่าอยู่หลายพันราย ก็จะหมดสัญญาในปี 2562 ก็จะนำมาพัฒนาเพิ่มมูลค่าให้กับทรัพย์สินได้ และเรายังเหลือที่ดินอีกหลายแปลงในภูเก็ต รวมถึงที่ดินที่พังงา ที่ปัจจุบัน ปล่อยเช่าทำเกษตรกว่า 3 พันไร่ด้วย การทำงานที่ผ่านมาของผมมันอาจจะยากลำบากในช่วงปีแรก ๆ แต่อุปสรรคที่เรามีกับมันมาแต่ต้น ก็ทำให้เราเรียนรู้เป็นบทเรียนที่ผมต้องมีวิธีจัดการแก้ปัญหาและผ่านมันไปให้ได้ และสิ่งที่ผมจะต้องยึดต่อไป คือ "การคุมวินัยทางการเงินให้ได้" ทั้งในแง่การบริหาร ธุรกิจที่มีอยู่ เพราะเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจก้าวต่อได้แข็งแกร่ง ไม่ว่าจะเกิดมรสุมอะไรที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวเกิดขึ้น หรือแม้แต่การขยายการลงทุนต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ก็ถือว่าเรามีภูมิคุ้มกันแล้ว และจะไม่มีวันที่จะทำธุรกิจของตระกูลกลับมาเกิดปัญหาเหมือนสมัยอดีตอีก


หน้า 25 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ  ฉบับที่ 3,420 วันที่ 22 - 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

595959859