'ซีพี' เปิดรังท้าพิสูจน์ความจริง หลังผู้เลี้ยงรายย่อยเฉ่ง นำเข้าปู่ย่าพันธุ์ทำไข่ไก่ล้นประเทศ "มิสเตอร์เอ้กบอร์ด" เผยเตรียมรื้อสูตรคำนวณผลผลิตลูกไก่ไข่ใหม่ กังขาคุมแล้วยังล้นตลาด ไม้แข็งเตรียมปลดแม่ไก่ 1 ล้านตัว
นสพ.สมชวน รัตนมังคลานนท์ รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ ในฐานะมิสเตอร์ไข่ไก่ เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า จากปัญหาราคาไข่ไก่ตกตํ่า ทั้งผู้ประกอบการและเกษตรกรสงสัยต้นเหตุมาจากบริษัทในเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) นำเข้าไก่ปู่ย่าพันธุ์ (จีพี) กว่า 4,000 ตัว ทำให้เกิดปัญหาไข่ไก่ล้นตลาดนั้น ที่ผ่านมาทางกรมได้ตรวจสอบเบื้องต้นแล้วว่า หลังจากนำเข้ามาแล้วบริษัทได้นำไปส่งให้กับโรงงานไหน หรือไปทำอะไรต่อไป ซึ่งเช็กแล้วมีที่มาที่ไปจริง แต่ผู้ประกอบการ 15 รายที่นำเข้าไก่ไข่พ่อแม่พันธุ์
(พีเอส) อย่างเดียว รวมทั้งเกษตรกรไม่เชื่อ ทางผู้บริหารซีพีได้ท้าให้เข้าไปพิสูจน์ ซึ่งทางกรมจะส่งนักวิชาการเข้าไปประกบเพื่อพิสูจน์ว่าเป็นตัวปัญหาจริงหรือไม่ ซึ่งอยู่ในระหว่างการนัดหมาย คาดใน 1-2 สัปดาห์ข้างหน้าจะรู้ความจริง
ส่วนข้อมูลไก่ไข่พ่อแม่พันธุ์จะต้องมาคำนวณใหม่ เนื่องจากฐานเดิมอาจจะตํ่าเกินไป เช่น จำนวนแม่ไก่พีเอส 1 ตัว จะได้ลูกไก่ไข่ 90 ตัว อาจจะเปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากการเลี้ยงเก่งขึ้นและมีเทคโนโลยีการเลี้ยงดีขึ้น การสูญเสียจะน้อย อาจจะได้จำนวนลูกไก่ไข่ 106 ตัว เป็นต้น และแม่ไก่ไข่ยืนกรง ปกติจะถูกปลดใน 78 สัปดาห์ แต่ปรากฏว่า บางฟาร์มอาจจะปลด 85 สัปดาห์ ต้องนำมาคำนวณใหม่
"ส่วนราคาไข่ไก่คละหน้าฟาร์มที่เกษตรกรอยากได้ที่ราคา 2.80 บาท/ฟอง จะต้องคำนวณกลับไปว่าจะต้องมีแม่ไก่ยืนกรงกี่ตัว หากต้องการ 40 ล้านฟองต่อวัน เพื่อให้ได้ราคาเท่านี้ อย่างไรก็ตาม จะมีการปลดแม่ไก่ไข่ 1 ล้านตัว อาทิ ซีพีรับไป 3 แสนตัว เป็นต้น ควบคู่นโยบายลดไข่ไก่ฟักเชื้อ 5 ล้านตัว เป็นต้น เชื่อว่าราคาจะค่อยปรับดีขึ้นไปตามเป้าหมายราคาต้นทุนของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) อยู่ที่ 2.80 บาท/ฟอง เกษตรกรถึงจะอยู่ได้"
นายชัยพร สีถัน ประธานชมรมผู้เลี้ยงไก่ไข่รายย่อยภาคกลาง กล่าวว่า ราคาประกาศของสมาคมผู้ผลิต ผู้ค้าและส่งออกไข่ไก่ ณ วันที่ 19 พ.ย. 2561 ราคาไข่ไก่คละอยู่ที่ฟองละ 2.50 บาท แต่เกษตรกรขายได้จริงอยู่ที่ 2 บาท ดังนั้น ทางกรมปศุสัตว์จะต้องมีนโยบายไม่ให้เครือซีพีนำเข้าปู่ย่าพันธุ์ เพื่อเป็นมาตรฐานเดียวกันกับอีก 15 บริษัทนำเข้า และเพื่อตัดระบบวงจรไม่ให้ไข่ไก่ล้นประเทศ กล่าวคือ เสนอไม่ให้ผู้นำเข้าเพาะฟักไข่เชื้อ เป็นระยะเวลา 2 เดือน ซึ่งทางรัฐและกรมปศุสัตว์ไม่ต้องกลัวว่า เกษตรกรรายย่อยจะขาดลูกไก่เลี้ยง เพราะปัจจุบัน ส่วนใหญ่อยู่ในเครือของบริษัทใหญ่ผูกขาดขายอาหารสัตว์หมดแล้ว
ด้าน พ่อค้าไข่ไก่ เผยว่า ณ วันนี้ ผู้ค้า
"คนกลาง" กลายเป็นแพะรับบาป ที่ถูกพาดพิงอย่างหนักว่า เป็นผู้ที่ไปกดราคาผู้เลี้ยงไก่ไข่ จนทำให้ผู้เลี้ยงไก่ไข่ขาดทุนหนักที่สุดในรอบ 30 ปี ตั้งคำถามว่า ผู้ค้าคนกลางเลี้ยงไก่สักตัวไหม ไม่ได้เลี้ยง แต่ถ้าผู้เลี้ยงไม่ขายให้ แล้วจะเอาไข่ที่ไหนมาขาย นั่นคือ การเจรจากันระหว่างคน 2 คน เมื่อไข่เกินความต้องการของตลาด ถามว่า ผู้เลี้ยงจะยอมให้ไข่เน่าคาฟาร์มหรือไม่ คำตอบคือไม่ เท่าไหร่ก็ต้องขาย
"ถามต่อ แล้วทำไมไข่ถึงเหลือ ก็เลี้ยงกันมากมาย ขยายกันเข้าไป พิสูจน์ตัวเลขที่แท้จริงไม่ได้ แล้วจะไม่ให้ล้นตลาดได้อย่างไร คนกลางมี 2 กลุ่ม ต้องแยกให้ชัด อย่าเหมาเข่ง ได้แก่
1.คนกลางที่ทำคิวไว้กับฟาร์ม ถึงเวลาไข่ในร้าน จะหมดหรือไม่หมด ก็ต้องไปรับตามคิวที่ตกลงกันไว้ วันดีคืนดี เจอไข่ถูกมาตีตลาด ก็ต้องยอมขายขาดทุน หรือเสมอตัว เพื่อให้ไข่ขายได้ ราคาที่รับมา ก็ตามประกาศสมาคม หรือตามราคาที่มีการประกาศซื้อขาย โดยทั่วไป ไม่มีราคาใต้โต๊ะ หรือราคาพิเศษแต่อย่างใด คนกลางกลุ่มนี้ มีมากมายจนนับไม่ถ้วน
2.คนกลางที่ไม่ทำคิวประจำกับฟาร์ม แต่ไข่หมดเมื่อไรถึงจะไปรับไข่มาขาย คนกลางกลุ่มนี้ ถ้าช่วงใดไข่ขาด ก็อาจไม่มีไข่ขาย ส่วนราคาก็ตามแต่ตกลงกัน ก็ถ้าตกลงกันไม่ได้ ก็คือไม่ขายให้
"ก็จบ""
ราคาไข่ก็ว่ากันไปตามคุณภาพ เรื่องนี้ต้องพึ่งพากัน ทั้งผู้เลี้ยงและคนกลาง ต้องถนอมนํ้าใจกันไว้ การเลี้ยงไก่ไข่มีองค์กรควบคุมต้องคุมให้อยู่ และไม่ควรมาโบ้ยว่า คนกลางกดราคาผู้เลี้ยงทำให้ขาดทุน
หน้า 8 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 38 ฉบับที่ 3,420 วันที่ 22-24 พฤศจิกายน 2561