พีเอ็มทีฯ เปิดแผน 3-5 ปี กรุยทางตลาดนาฬิกาหรู

13 พ.ย. 2561 | 09:52 น.
'พีเอ็มที' ชี้! ตลาดนาฬิกาหรูโตไม่หยุด ดันยอดขายบริษัทสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เร่งเปิดแผนรับเทรนด์ตลาดขาขึ้น เตรียมส่งแบรนด์ในเครือ ทั้ง Patek Philippe, Rolex, Richard Mille ฯลฯ สยายปีกต่อเนื่อง พร้อมเดินหน้าขอไลเซนส์จัดจำหน่ายในซีแอลเอ็มวี

กรรมการผู้จัดการ บริษัท พีเอ็มที เดอะ อาวร์ กลาส (ไทยแลนด์) จำกัด ผู้นำเข้านาฬิกาหรูจากต่างประเทศกว่า 40 แบรนด์ อาทิ Patek Philippe, Chopard, Audemars Piquet ฯลฯ เปิดเผยว่า แม้ภาพรวมเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมาจะค่อนข้างชะลอตัว แต่ตลาดสินค้าพรีเมียมไปจนถึงลักชัวรีไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด กลุ่มเป้าหมายยังคงมีการจับจ่ายกันตามปกติ โดยเฉพาะในช่วงที่สภาวะเศรษฐกิจค่อนข้างตึงเครียด กลุ่มเป้าหมายในตลาดระดับบนจะออกมาช็อปปิ้งเพื่อผ่อนคลายเพิ่มขึ้น เห็นได้จากยอดขายของบริษัท ที่พบว่า มีลูกค้าแห่จองสินค้าล่วงหน้าจำนวนมาก ส่งผลให้ปีนี้ถือเป็นปีทองของบริษัทที่สามารถทำรายได้มากที่สุดตั้งแต่มีการทำตลาด


45652633_10160807102785315_6818484783987818496_n

"ภาพรวมตลาดนาฬิกาในกลุ่มลักชัวรีเซ็กเมนต์ที่มีระดับราคาตั้งแต่ 1.5 แสนบาทขึ้นไป ยังมีการเติบโตได้ดีอยู่จากความต้องการตลาดนาฬิกาทั่วโลกที่เพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ ในกลุ่มตลาดระดับกลาง ยอมรับยังคงต้องแข่งขันกันเหนื่อยอยู่ ไม่ว่าจะเป็น ผลพวงจากการเข้ามาของนาฬิกาดิจิตอล (Digital Watch) บวกกับกลุ่มแบรนด์แฟชั่นหลายแบรนด์เริ่มหันมาทำตลาดนาฬิกาจำนวนมากขึ้น"

45798288_10160807102775315_8233995684219453440_n

สำหรับแผนงานของบริษัทช่วง 3-5 ปีนับจากนี้ จะให้ความสำคัญกับการขยายตลาดของแต่ละแบรนด์ในของบริษัททั้ง 40 แบรนด์ ไปยังโลเกชันที่เหมาะสม ซึ่งจะแบ่งการทำตลาดออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ๆ ได้แก่ ตลาดในกรุงเทพฯ จะโฟกัสไปที่แบรนด์กลุ่มแบรนด์ในตลาดลักชัวรี ไม่ว่าจะเป็น Patek Philippe, Rolex, Richard Mille ฯลฯ ขณะที่ ในตลาดต่างจังหวัดจะให้ความสำคัญกับการขยายสาขาในกลุ่มแบรนด์ระดับกลาง-บน และแฟชั่นแบรนด์เป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็น Armani, Tissot ฯลฯ ควบคู่กับการให้ความสำคัญในเรื่องของดิสตริบิวชันที่หลากหลาย เพื่อให้สินค้าเข้าถึงมากที่สุด ซึ่งหากบริษัทมองแล้วว่า ดิสตริบิวชัน หรือ รีเทลแห่งไหนที่มีศักยภาพ ก็พร้อมที่จะขยายตลาดเข้าไปทำทันที โดยอาจจะเป็นการเปิดสาขาของแบรนด์ในเครือ (บูติกแบบโมโนแบรนด์) ในเครือที่บริษัทมองว่ามีศักยภาพในการเปิดสาขาที่กำลังพิจารณาอยู่ 2-3 แบรนด์


45507624_10160807103165315_2960870249643114496_n

พร้อมกันนี้ ยังโฟกัสการทำตลาดในรูปแบบ CRM และ Digital Content Marketing ไปยังลูกค้าเพื่อสื่อสารแบรนด์มากขึ้น ควบคู่กับการมองหาศักยภาพของตลาดในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านในการขยายตลาดเข้าไป ทั้งเวียดนามและกัมพูชา ซึ่งบริษัทมองว่าเป็นตลาดที่มีศักยภาพทางการเติบโต กลุ่มประชากรเริ่มมีการจับจ่าย คนรุ่นใหม่เริ่มมีกำลังซื้อมากขึ้น คล้าย ๆ กับประเทศไทยเมื่อ 15 ปีที่ผ่านมา เบื้องต้น อยู่ระหว่างการขอไลน์เซนส์เพิ่มเติมเพื่อขยายแบรนด์ Patek Philippe ไปยังกลุ่มประเทศซีแอลเอ็มวี (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม) โดยเบื้องต้น อยู่ระหว่างการเจรจากับบริษัทแม่พร้อม ๆ กับการมองหาพาร์ตเนอร์ชาวท้องถิ่นในแต่ละประเทศ

ล่าสุด ได้เปิดช็อปแบรนด์ Patek Philippe ที่ไอคอนสยาม บนพื้นที่กว่า 220 ตร.ม. ซึ่งถือเป็นสาขาของ Patek Philippe ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และถือเป็นหนึ่งในสาขาที่ใหญ่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประกอบไปด้วย โซนแสดงสินค้า วีไอพีโซน และเคาน์เตอร์ โดยมีไฮไลต์อยู่ที่รุ่น Sky Moon ซึ่งถือเป็นคอลเลกชันไอคอนิก ราคา 8-13 ล้านบาท เน้นเจาะกลุ่มลูกค้าในย่านฝั่งธนฯ และกลุ่มนักท่องเที่ยวเป็นหลัก โดย Patek Philippe ถือเป็นแบรนด์แฟล็กชิพของบริษัทที่มีสัดส่วนยอดขายมากที่สุด


หน้า 36 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ | ฉบับ 3,418 ระหว่างวันที่ 15-17 พฤศจิกายน 2561

ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว