บทวิเคราะห์สถานการณ์ราคาทองคำแท่ง ประจำวันที่ 13 พฤศจิกายน 2561 โดยบริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด
คำแนะนำ
ทำกำไรระยะสั้นตามกรอบราคา โดยเปิดสถานะขายหากราคาไม่สามารถยืนเหนือ 1,214 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ และปิดสถานะขายหากราคายังยืนเหนือโซน 1,197 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่หากหลุดมีแนวรับถัดไปที่ 1,189-1,180 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ราคาทองคำยังไม่สามารถยืนเหนือ 1,214 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ ส่งผลให้แรงซื้อยังคงถูกจำกัด สำหรับวันนี้ประเมินแนวต้านระยะสั้นในโซน 1,212-1,214 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่หากผ่านไปได้แนวต้านถัดไปจะอยู่ในบริเวณ 1,224 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่แนวรับนั้นยังประเมินในโซน 1,197 และแนวรับถัดไปที่ 1,189-1,180 ดอลลาร์ต่อออนซ์
แนวรับ 1,197 1,189 1,180
แนวต้าน 1,214 1,224 1,236
สรุป ราคาทองคำวานนี้ปิดปรับตัวลดลง 9.10 ดอลลาร์ต่อออนซ์แม้จะได้รับแรงหนุนในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย หลังดัชนีดาวโจนส์ปิดร่วงลงกว่า 600 จุดนำโดยการดิ่งลงของหุ้นแอปเปิลและหุ้นโกลด์แมน แซคส์ โดยปัจจัยสำคัญที่กดดันราคาทองคำ ได้แก่ ดัชนีดอลลาร์ที่แข็งค่าแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย.ปี 2017 โดยดอลลาร์ได้รับแรงหนุนทั้งจากแนวโน้มที่ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)จะเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่องในปีนี้และปีหน้า รวมไปถึงการร่วงลงของปอนด์เมื่อเทียบกับดอลลาร์หลังมีข่าวว่า รัฐมนตรี 4 รายของอังกฤษ ซึ่งมีแนวคิดสนับสนุนให้อังกฤษรวมตัวเข้ากับสหภาพยุโรป เตรียมลาออกจากคณะรัฐมนตรี เพื่อกดดันนางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ขณะที่ยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์เช่นกัน จากความวิตกว่าอิตาลีจะยื่นแผนงบประมาณที่ไม่มีการปรับแก้เป้าหมายตัวเลขการขาดดุลงบประมาณให้คณะกรรมาธิการยุโรป (EC)พิจารณาในวันนี้ ซึ่งอาจทำให้ EC ปฏิเสธงบประมาณของอิตาลีอีกครั้ง สถานการณ์ดังกล่าวหนุนดอลลาร์จนกดดันให้ทองคำปิดปรับตัวลงต่อเนื่องเป็นวันทำการที่ 7 ติดต่อกัน ด้านกองทุน SPDR ถือครองทองคำเพิ่มวานนี้ +6.77 ตัน สำหรับวันนี้ติดตามการเปิดเผยดัชนีภาวะธุรกิจขนาดเล็กจาก NFIB และถ้อยแถลงนาง Lael Brainard ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ
ที่มา : บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด
[caption id="attachment_346099" align="aligncenter" width="335"]
[/caption]