ลงทุน‘ลุยซื้อ’ไฮเอนด์ ถือยาวหวังกำไรในอนาคต/เอพีพบสัญญาณเพิ่ม10%

03 มี.ค. 2559 | 03:00 น.

Thansettakij เว็บไซต์ข่าวฐานเศรษฐกิจ ผนวกไลฟ์สไตล์ Start up SMEs อสังหาริมทรัพย์ การเงิน การลงทุน การตลาด เศรษฐกิจ เทคโนโลยี Breaking News อัพเดตข่าวล่าสุดที่นี่

เศรษฐกิจซบส่งผลนักลงทุนในตลาดหุ้น เบนเข็มสู่อสังหาฯไฮเอนด์ ราคาขายมากกว่า 2 แสนบาทต่อตร.ม. โดยซื้อเพื่อถือครองระยะยาวหวังกำไรพุ่งในอนาคต คอลลิเออร์ส เผยอัตราการขายเฉลี่ยสูงถึง 70% ด้านซีบีริชาร์ดชี้ราคาปรับขยับขึ้น 6% ต่อปี เอพีพบสัญญาณกลุ่มนักลงทุนเพิ่ม 10%

[caption id="attachment_34929" align="aligncenter" width="503"] อัตราการขายเฉลี่ยของคอนโดมิเนียมระดับราคามากกว่า 2 แสนบาทต่อ ตรม. อัตราการขายเฉลี่ยของคอนโดมิเนียมระดับราคามากกว่า 2 แสนบาทต่อ ตรม.[/caption]

นายสุรเชษฐ กองชีพ รองผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทยเปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ในช่วง 4–5 ปีที่ผ่านมามีคอนโดมิเนียมออกสู่ตลาดจำนวนมาก ส่งผลให้เกิดกระแสโอเวอร์ซัพพลายในบางพื้นที่ ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจซบเซาและผันผวน ทำให้กลุ่มนักลงทุนโดยเฉพาะในตลาดหลักทรัพย์หันมาสนใจลงทุนในคอนโดมิเนียมแทน พร้อมปรับรูปแบบการลงทุน จากเก็งกำไรระยะสั้นมาเป็นการถือครองระยะยาว โดยเฉพาะในกลุ่มคอนโดมิเนียมระดับราคาขายมากกว่า 2 แสนบาทต่อตร.ม. เนื่องจากคอนโดมิเนียมในกลุ่มนี้หลายโครงการมีราคาขายสูงกว่าราคาขายเฉลี่ย หรือสูงกว่าราคาขายของโครงการในทำเลเดียวกันค่อนข้างมาก

ดังนั้น การจะลงทุนในระยะสั้นถ้าไม่ได้ห้องที่สวยจริงๆ หรือห้องที่มีอยู่ไม่มากก็ต้องถือไว้ระยะยาวจนกระทั่งโอนกรรมสิทธิ์อย่างเดียวเลย อีกทั้งการที่ราคาขายสูงกว่าโครงการอื่นๆ เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้คนที่ซื้อโครงการระดับนี้เลือกที่จะถือไว้ยาวๆ โดยสัดส่วนของการลงทุนระยะยาวในลักษณะนี้อาจจะมากกว่า 60% ของการซื้อในโครงการที่ระดับราคาขายมากกว่า 2 แสนบาทต่อตร.ม.

"ก่อนหน้านี้มีคนจำนวนไม่น้อยเลือกที่จะลงทุนในระยะสั้น แต่ปรากฏว่าไม่สามารถขายห้องออกไปได้ต้องถือไว้จนโอนกรรมสิทธิ์ ทำให้คนที่มีศักยภาพเลือกที่จะซื้อเพื่อการลงทุนในระยะยาว โดยไม่ได้คาดหวังว่าจะปล่อยเช่าในอนาคต แต่เพื่อรอวันที่ราคาขายขึ้นสูงกว่าต้นทุนที่ซื้อมา ซึ่งดูแล้วมีแนวโน้มที่ราคาจะปรับขึ้นไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะในทำเลตามแนวถนนสุขุมวิทระหว่างแยกอโศก ถึงซอยทองหล่อที่คอนโดมิเนียมเปิดขายในระยะหลังแพงขึ้นทุกปีๆ และแนวโน้มจะยังคงเป็นแบบนี้ต่อไปในอนาคต ดังนั้น ผู้ที่ต้องการลงทุนในคอนโดมิเนียมระดับนี้จึงปรับเปลี่ยนมาเป็นการซื้อเพื่อถือไว้ในระยะยาว หรือซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองมากกว่าการซื้อเก็งกำไรใบจอง รวมทั้งเพื่อเป็นมรดกให้ลูกหลานในอนาคต" นายสุรเชษฐ กล่าว

ทั้งนี้ โครงการคอนโดมิเนียมที่มีระดับราคาขายมากกว่า 2 แสนบาทต่อตร.ม.เริ่มเป็นที่สนใจของคนโดยทั่วไปก็ในช่วงประมาณปี 2557 ที่มีโครงการระดับนี้เปิดขายเกือบ 1,000 หน่วย และขายได้เกือบ 100% ส่งผลให้ในปี 2558 มีโครงการในระดับนี้เปิดขายมากที่สุดในประวัติศาสตร์คือ 18 โครงการ รวมจำนวนประมาณ 4,995 หน่วย ซึ่งส่วนใหญ่ก็ได้รับความนิยมจากผู้ซื้อเช่นกัน จำนวนรวมทั้งหมดของคอนโดมิเนียมในระดับนี้อยู่ที่ประมาณ 7,095 หน่วย

สำหรับอัตราการขายเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 80% โดยกลุ่มที่มีราคาขายต่ำกว่า 2.5 แสนบาทบาทต่อตร.ม.มีอัตราการขายที่ประมาณ 89% ขณะที่กลุ่มที่มีราคาขายมากกว่า 2.5 แสนบาทบาทต่อตร.ม.มีอัตราการขายที่ประมาณ 70% แสดงให้เห็นว่าคอนโดในระดับนี้ได้รับความสนใจอย่างมาก บางโครงการได้รับความสนใจจากผู้ซื้อชาวต่างชาติ ทำให้มีหน่วยของคอนโดมิเนียมเหลือขายอยู่ไม่มากนัก ทำให้ผู้ประกอบการมีความมั่นใจในการพัฒนาโครงการระดับนี้ออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่อาจจะมีจำนวนที่ลดลงจากปี 2558 เนื่องจากยังไม่มั่นใจในภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยที่มีผลโดยตรงต่อการตัดสินใจซื้ออสังหาริมทรัพย์ โดยจะเห็นได้จากบางโครงการทีเปิดขายในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2558 ที่ทำยอดขายได้ไม่สูงมากนัก เมื่อเทียบกับโครงการก่อนหน้านี้

สอดคล้องกับ นางสาวอลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีบีริชาร์ดเอลลิส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ตลาดคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรีและซูเปอร์ลักชัวรี ราคาขายมากกว่า 2.5 แสนบาทต่อตร.ม.ยังคงได้รับความนิยมจากกลุ่มนักลงทุนระยะยาวทั้งชาวไทยและต่างชาติ สืบเนื่องจากอัตราผลตอบแทนในระยะยาวอยู่ในระดับที่น่าสนใจ เนื่องจากสินค้าในกลุ่มนี้จะตั้งอยู่ในย่านกลางใจเมืองที่มีข้อจำกัดในเรื่องของจำนวนที่ดินที่จะนำมาพัฒนาน้อย ประกอบกับราคาที่ดินในปัจจุบันเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้คอนโดมิเนียมที่พัฒนาใหม่ในแต่ละปีมีราคาสูงขึ้นตามต้นทุนเฉลี่ยที่ประมาณ 6% ต่อปี ทำให้นักลงทุนสนใจลงทุนอสังหาฯเพิ่มมากขึ้น โดยกลุ่มนักลงทุนหลักยังคงเป็นคนไทยคิดเป็นสัดส่วน 80-90%

ด้าน นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์การตลาด บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ AP กล่าวว่า เริ่มเห็นสัญญาณการซื้อเพื่อลงทุนของกลุ่มนักลงทุนระยะยาวเพิ่มมากขึ้น ตั้งแต่ในช่วงปลายปี 2558 ต่อเนื่องปี 2559 โดยเฉพาะโครงการในพื้นที่ย่านกลางเมืองอย่างอโศกและสุขุมวิท ที่มีกลุ่มนักลงทุนเพิ่มสูงขึ้นจากเดิม 1-2% เป็น 10% โดยนักลงทุนส่วนหนึ่งซื้อเพื่อปล่อยเช่าแก่ชาวต่างชาติ ที่ต้องการเช่าห้องชุดขนาดใหญ่ในทำเลที่มีศักยภาพ

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,136 วันที่ 3 - 5 มีนาคม พ.ศ. 2559