เล็งตั้งกองทุนใหม่แทน LTF ใช้ "เครดิตภาษี" จูงใจ
FETCO เสนอ 'สมคิด' ตั้งกองทุนใหม่แทนแอลทีเอฟ พร้อมเปลี่ยนสิทธิประโยชน์ทางภาษีเป็น "เครดิตภาษี" ใช้ลดหย่อนรายจ่ายภาษีจริง สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผยว่า คณะกรรมการ FETCO ได้เสนอแนวทางการจัดตั้งกองทุนใหม่ต่อ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี แทนกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (แอลทีเอฟ) ที่จะหมดอายุในปี 2562 โดยเสนอให้แบ่งสัดส่วนเงินลงทุนในกองทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐ (อินฟราสตรัคเจอร์ ฟันด์) และหุ้นในกลุ่มหุ้นยั่งยืน 50% ส่วนอีก 50% เป็นการลงทุนอิสระ นอกจากนี้ ยังเปลี่ยนการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเป็นการให้เครดิตภาษีแทน และต้องลงทุนระยะยาวเป็นเวลา 10 ปี เพื่อลดความเหลื่อมล้ำของผู้มีรายได้สูงและต่ำให้มีสิทธิเท่าเทียมกัน
สำหรับเครดิตภาษี คือ สิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษีที่ต้องจ่ายตามจริง 20% โดยกำหนดให้มีการลดหย่อนภาษีสูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท หรือ ไม่เกินภาระภาษีของแต่ละคน ทั้งนี้ ผู้มีรายได้ต้องคำนวณเงินได้และภาระทางภาษีทั้งหมดก่อน รวมถึงคำนวณการลดหย่อน เช่น การเลี้ยงดูบุตร เป็นต้น จากนั้นจะได้จำนวนเงินที่ต้องจ่ายภาษีจริง และนำมาหักลบ เช่น หากต้องจ่ายภาษี 100,000 บาท ผู้มีรายได้ต้องลงทุนในกองทุนจำนวน 500,000 บาท เพื่อให้ได้สิทธิประโยชน์ 20% หรือ 100,000 บาท จึงจะนำมาลดหย่อนได้
"สิทธิประโยชน์จากกองทุนใหม่นี้จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำได้มาก หลังจากกองทุนแอลทีเอฟถูกวิจารณ์มาตลอดถึงสิทธิประโยชน์ที่เอื้อต่อผู้มีรายได้สูงมากเกินไป ซึ่งสิทธิของกองทุนใหม่นี้จะทำให้เท่าเทียมกันหมด เพราะนำมาลดหย่อนในส่วนของการจ่ายภาษีจริง ไม่ใช่แบบเดิมที่ลดหย่อนในส่วนของรายได้ นอกจากนี้ ยังช่วยในเรื่องของการออมอีกด้วย เนื่องจากปัจจุบันการออมเป็นสิ่งที่สำคัญ จำเป็นต้องมีการรณรงค์ให้มากขึ้น ส่วนความเป็นไปได้ของกองทุนนี้ว่าจะเกิดขึ้นได้หรือไม่นั้น ต้องอยู่ที่การพิจารณาของรัฐบาล ซึ่งรองนายกฯ ได้รับข้อเสนอไว้แล้ว"
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผยว่า คณะกรรมการ FETCO ได้เสนอแนวทางการจัดตั้งกองทุนใหม่ต่อ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี แทนกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (แอลทีเอฟ) ที่จะหมดอายุในปี 2562 โดยเสนอให้แบ่งสัดส่วนเงินลงทุนในกองทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐ (อินฟราสตรัคเจอร์ ฟันด์) และหุ้นในกลุ่มหุ้นยั่งยืน 50% ส่วนอีก 50% เป็นการลงทุนอิสระ นอกจากนี้ ยังเปลี่ยนการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเป็นการให้เครดิตภาษีแทน และต้องลงทุนระยะยาวเป็นเวลา 10 ปี เพื่อลดความเหลื่อมล้ำของผู้มีรายได้สูงและต่ำให้มีสิทธิเท่าเทียมกัน
สำหรับเครดิตภาษี คือ สิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษีที่ต้องจ่ายตามจริง 20% โดยกำหนดให้มีการลดหย่อนภาษีสูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท หรือ ไม่เกินภาระภาษีของแต่ละคน ทั้งนี้ ผู้มีรายได้ต้องคำนวณเงินได้และภาระทางภาษีทั้งหมดก่อน รวมถึงคำนวณการลดหย่อน เช่น การเลี้ยงดูบุตร เป็นต้น จากนั้นจะได้จำนวนเงินที่ต้องจ่ายภาษีจริง และนำมาหักลบ เช่น หากต้องจ่ายภาษี 100,000 บาท ผู้มีรายได้ต้องลงทุนในกองทุนจำนวน 500,000 บาท เพื่อให้ได้สิทธิประโยชน์ 20% หรือ 100,000 บาท จึงจะนำมาลดหย่อนได้
"สิทธิประโยชน์จากกองทุนใหม่นี้จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำได้มาก หลังจากกองทุนแอลทีเอฟถูกวิจารณ์มาตลอดถึงสิทธิประโยชน์ที่เอื้อต่อผู้มีรายได้สูงมากเกินไป ซึ่งสิทธิของกองทุนใหม่นี้จะทำให้เท่าเทียมกันหมด เพราะนำมาลดหย่อนในส่วนของการจ่ายภาษีจริง ไม่ใช่แบบเดิมที่ลดหย่อนในส่วนของรายได้ นอกจากนี้ ยังช่วยในเรื่องของการออมอีกด้วย เนื่องจากปัจจุบันการออมเป็นสิ่งที่สำคัญ จำเป็นต้องมีการรณรงค์ให้มากขึ้น ส่วนความเป็นไปได้ของกองทุนนี้ว่าจะเกิดขึ้นได้หรือไม่นั้น ต้องอยู่ที่การพิจารณาของรัฐบาล ซึ่งรองนายกฯ ได้รับข้อเสนอไว้แล้ว"
