นิวเจน‘ตั้งงี่สุนฯอุดร’ ชูกลยุทธ์พี่เลี้ยงโชวห่วย‘เราจะโตไปด้วยกัน’

14 พ.ย. 2561 | 03:00 น.
ท่ามกลางการแข่งขันในยุคที่โมเดิร์นเทรดเข้ามาปักธงยึดหัวหาด โดยเฉพาะหัวเมืองใหญ่ในต่างจังหวัด ทำให้บรรดายี่ปั๊วกลไกสำคัญในระบบการค้า ที่เคยรุ่งเรืองในอดีต เริ่มหาที่ยืนลำบากขึ้น จนมีการตั้งคำถามว่า หรือจะถึงคราวสิ้นยุคของยี่ปั๊วแล้ว แต่ยังมีอีกหลายพื้นที่ที่ ยี่ปั๊วสามารถยืนหยัดแข่งกับโมเดิร์นเทรดข้ามถิ่น และมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง หนึ่งในนั้น คือ ตั้งงี่สุนซูเปอร์สโตร์ บิ๊กธุรกิจค้าปลีกค้าส่งของจังหวัดอุดรธานี และของภาคอีสานตอนบน ที่ยืนหยัดมากว่า 80 ปี วันนี้การบริหารได้ส่งต่อมาถึงเจเนอเรชันใหม่ “ฐานเศรษฐกิจ” ได้สัมภาษณ์นายมิลินทร์ วีระรัตนโรจน์ ประธานกรรมการผู้จัดการ บริษัท ตั้งงี่สุนซูเปอร์สโตร์ จำกัด ถึงทิศทางธุรกิจภายหลังเข้ามา บริหารกิจการของครอบครัว

lo03
ยึดของเดิมเปลี่ยนบางส่วน

“ผมยังยึดมั่นกับแนวทางการบริหารของคุณพ่อ (นายปรีชา วีระรัตนโรจน์) และครอบครัวเป็นหลัก แต่อาจมีการเปลี่ยน แปลงไปบ้าง ให้เกิดความฉับไวรวดเร็ว และเพื่อให้เกิดความมั่นคงของธุรกิจ” นายมิลินทร์ กล่าวเริ่มต้นการให้สัมภาษณ์

ตั้งงี่สุนเป็นธุรกิจค้าปลีกค้าส่งท้องถิ่นที่อยู่คู่กับเมืองอุดรธานีมาเป็นเวลานาน ซึ่งต้องคงอยู่ต่อไปอย่างมั่นคง โดยการบริหารอาจมีการเปลี่ยนแปลงวิธีการไปบ้าง แต่ก็ยังยึดถือแนวทางบริหารของบิดาและครอบครัวที่ได้วางแนวทางการปฏิบัติเอาไว้

lo04

“ไม่ใช่ว่า ไม่มีการเปลี่ยน แปลงเลย การเปลี่ยนแปลงคงต้องมี แต่ก็เกิดคำถามว่า ตั้งงี่สุนซูเปอร์สโตร์ จะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใด จะมีการขยายสาขาออกไป ให้มีหลายสาขาหรือไม่ เพื่อให้ดูว่าธุรกิจมีความเติบโต ซึ่งน่าจะเป็นวิธีที่ง่าย หรือจะเป็นวิธีการปรับปรุงธุรกิจเดิม ซึ่งก็เป็นอีกทิศทางหนึ่ง อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาในทุกๆ ปี ตั้งงี่สุนก็มีการใช้วิธีปรับปรุง ในขณะที่สภาพของเศรษฐกิจโดยทั่วๆ ไป ยังไม่ค่อยดี แต่ตั้งงี่สุนมีการขยายตัว แต่การเติบโตอาจอยู่ในอัตราที่ดูว่าตํ่า แต่ในสภาพเศรษฐกิจที่ไม่ดี ก็แสดงว่า ธุรกิจของตั้งงี่สุน ยังมีความเข้มแข็ง”
วางแผนเปลี่ยนแปลง

นายมิลินทร์ กล่าวขยายความว่า ต้องยอมรับว่าจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงหรือปรับปรุงองค์กรภายในให้ดีกว่าเดิม เพื่อให้เกิดความกระชับ ตัดสินใจให้รวดเร็วขึ้นในบางเรื่อง และยังคงยึดมั่นในบางเรื่องเอาไว้ ส่วนเรื่องการขยายสาขา ก็มีอยู่ในความคิดและทิศทางการทำงาน แต่ไม่ใช่ในระยะเวลาสั้นนี้ ในระยะต่อไปนี้จนถึงปีหน้า ตนเองและผู้ร่วมงานการบริหารองค์กร จะต้องมีการปรับปรุงภายในองค์กรให้ดีเสียก่อน มีการฝึกบุคลากรให้เข้มแข็งกว่าในปัจจุบัน

มีความเป็นไปได้ว่า ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า อาจเห็นความเปลี่ยนแปลงของตั้งงี่สุนไปในเรื่องของการขยายสาขา แต่ก็ขอเก็บเอาไว้ก่อนว่า จะเป็นในโมเดลไหน อาจเป็นโมเดลของคอนวีเนียนสโตร์ หรืออาจเป็นโมเดลขนาดไฮเปอร์มาร์เก็ตก็ได้ เป็นเรื่องของความพร้อมในอนาคตและเรื่องของกฎหมายผังเมืองด้วยว่า จะมีการปรับเปลี่ยนผังเมืองอะไร อย่างไร และเรื่องสุดท้ายเป็นเรื่องของพื้นที่การลงทุนว่าจะเป็นไปในลักษณะซื้อหรือเช่า

ปัจจุบันธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง ไม่จำเป็นต้องซื้อที่ดินแล้ว ใช้วิธีเช่า เซ้ง ในระยะยาวก็ได้ เพราะการลงทุนด้วยการซื้อที่ดิน เป็น การลงทุนที่ไม่คุ้มค่า ราคาที่ดินมีราคาสูงเกินความเป็นจริง จับไม่ได้เลย ไม่ได้อยู่บนหลักการ แต่ขึ้นอยู่กับความชื่นชมมากกว่า การลงทุนในธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง จะต้องคำนึงถึงราคาต้นทุนและความคุ้มค่าในการลงทุน ยืนยันว่า ตั้งงี่สุนซูเปอร์สโตร์ จะไม่หยุดนิ่งในการพัฒนาธุรกิจ แต่จะค่อยเป็นค่อยไปอยู่บนความมั่นคงไปพร้อมๆ กันกับพันธมิตรการค้า
พร้อมเป็นพี่เลี้ยงโชวห่วย

“ตั้งงี่สุนต้องมีการเดินหน้าต่อไป แต่ทั้งนี้จะต้องดูความพร้อมภายในองค์กรก่อนว่า มีความพร้อมมากน้อยแค่ไหน และการก้าวหน้าไปข้างหน้า ก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่า มีสาขาหลายแห่ง แต่ทุกอย่างต้องดำเนินการไปอย่างเข้มแข็งและมั่นคง มีหลายรูปแบบในการลงทุนและการดำเนินการที่สามารถเลือกทางเดินได้ หรืออาจจะตั้งเป็นตัวแทนขายด้วยร้านขนาดเล็กๆ โดยไม่จำเป็นที่ต้องมีแบรนด์ก็ได้ ในลักษณะของพี่เลี้ยงน้อง”

นายมิลินทร์ กล่าวยํ้าว่า “ทุกคนสามารถขอรับการปรึกษารูปแบบธุรกิจค้าปลีกค้าส่งได้ทุกแห่งทุกพื้นที่ในแหล่งชุมชนเล็กๆ ตั้งงี่สุน พร้อมที่จะเป็นพี่เลี้ยงให้ เพราะยิ่งมีร้านเล็กๆ ขนาดกลางๆ กระจายอยู่ในชุมชน หมู่บ้าน ตำบล อีกเป็นหมื่นแห่งตั้งงี่สุน ก็ขายสินค้าได้ และยังเป็นการสร้างพันธมิตรทางการค้าด้วย ไม่จำเป็นต้องซื้อสินค้าจากตั้งงี่สุนทั้งหมด แต่เราก็พร้อมที่จะเป็นพี่เลี้ยงให้โชวห่วยทุกแห่ง เพื่อเป็นการสร้างการค้าร่วมกันภายใต้แคมเปญที่ว่า ลูกค้าต้องรวยก่อน เรารวยทีหลัง ซึ่งมีผู้ชำนาญการในเรื่องของร้านโชวห่วยหรือร้านค้าขนาดเล็กๆเคยวิจัยเอาไว้ว่า โชวห่วยไม่มีวันตาย”
แข่งเดือดแต่ยังมีโอกาส

นายมิลินทร์มองภาพของการทำธุรกิจค้าปลีกค้าส่งในช่วงที่ผ่านมาว่า เป็นเค้กก้อนใหญ่ ที่ต่างคนต่างก็ลงไปแย่งชิงแข่งขันกัน จนปัจจุบันนี้เค้กก้อนดังกล่าวนั้นเล็กลง แต่การแข่งขันแย่งชิงก็ยังมีและมีมากยิ่งขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีโอกาสที่ดีอยู่ ขึ้นอยู่กับว่าใครจะมองเห็นและฉวยโอกาสดังกล่าวเอาไปให้เป็นประโยชน์แก่กับตัวเองได้มากน้อยเพียงใด สำคัญที่สุด สิ่งที่จะต้องทำก่อนอื่น คือ ต้องมีการปรับตัวเองให้เข้ากับสภาพเป็นอยู่ในปัจจุบัน จะต้องมีการวัดกันด้วยข้อเท็จจริง และอนาคตของตลาดธุรกิจค้าปลีกค้าส่งก็ยังดีอยู่ ตราบใดที่คนยังต้องกิน ต้องใช้ ธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง ก็ยังคงมีอยู่

หน้า 21 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 38 ฉบับที่ 3,417 วันที่ 11-14 พฤศจิกายน 2561 090861-1927-9-335x503