ธปท. ดีเดย์! "คุมสินเชื่อบ้าน" 1 เม.ย. 2562
แบงก์ชาติเคาะกู้บ้านต่ำกว่า 10 ล้าน สัญญากู้ที่ 2 หลังผ่อนสัญญาแรกมาแล้ว 3 ปีขึ้นไป วางดาวน์ 10% แต่ผ่อนไม่ถึง 3 ปี ต้องดาวน์ 20% เข้มสัญญาที่ 3 ขึ้นไป ทุกระดับราคาวางดาวน์ 30% ของมูลค่าหลักประกัน
นายจาตุรงค์ จันทรังษ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการสายกำกับสถาบันการเงิน และนายสมชาย เลิศลาภวศิน ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์สถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ร่วมแถลงหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย เมื่อวันที่ 9 พ.ย. 2561
นายจาตุรงค์ กล่าวว่า คณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน (กนส.) และคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้นำความเห็นที่ได้รับจากการเปิดรับฟังความเห็นมาประกอบการพิจารณา และสรุปหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ประกอบด้วย 1.การกำหนดเงินดาวน์ขั้นต่ำ หรือ อัตราส่วนสินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (LTV) ให้สะท้อนความเสี่ยงได้ดีขึ้น สำหรับที่อยู่อาศัยที่มีราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาท และสัญญาแรกอยู่ระหว่างผ่อนชำระ โดยกรณีผ่อนชำระสัญญาแรกตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป สัญญาที่ 2 ต้องวางดาวน์ 10% และถ้าผ่อนชำระสัญญาแรกยังไม่ถึง 3 ปี ต้องวางดาวน์ 20%
ส่วนกรณีกู้สัญญาที่ 3 ขึ้นไป โดยที่สัญญาอื่นยังผ่อนชำระไม่หมด จะต้องวางดาวน์ 30% ส่วนกรณีบ้านที่มีมูลค่าตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป จะต้องวางดาวน์ 20% ตั้งแต่สัญญษาที่ 1 และ 2 และสัญญาที่ 3 จะต้องวางดาวน์ 30%
ทั้งนี้ เกณฑ์ดังกล่าวจะไม่กระทบประชาชนที่กู้ซื้อที่อยู่อาศัยหลังแรกที่ราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาท ที่ไม่ต้องวางดาวน์เหมือนเดิม และเกณฑ์ LTV ไม่บังคับใช้กับการกู้เพื่อสร้างที่อยู่อาศัยบนที่ดินของตนเอง และไม่กระทบการรีไฟแนนซ์ที่มีภาระผ่อนเพียงหนึ่งหลัง โดยการรีไฟแนนซ์ที่อยู่อาศัยในทุกกรณีให้ใช้ราคาประเมินใหม่เพื่อสะท้อนมูลค่าปัจจุบัน
ส่วนการนับรวมสินเชื่ออื่นที่เกี่ยวเนื่องกับสินเชื่อที่อยู่อาศัย ที่ใช้หลักประกันเดียวกัน หรือ Top-up นั้น ให้ยกเว้น สินเชื่อที่ใช้ชำระเบี้ยประกันชีวิตผู้กู้และประกันวินาศภัย ซึ่งช่วยป้องกันความเสี่ยงของทั้งผู้กู้และสถาบันการเงิน และสินเชื่อที่ให้กับธุรกิจ SMEs เพื่อสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของผู้ประกอบการรายย่อย
"ภายใต้เกณฑ์ดังกล่าว สำหรับราคาที่อยู่อาศัยต่ำกว่า 10 ล้านบาท สัญญาแรกไม่บังคับวางเงินดาวน์ขั้นต่ำ ถ้าปล่อยกู้รวมสินเชื่อ Top-up แล้ว ต้องไม่เกิน 100% กรณีผ่อนดาวน์ 10% ปล่อยกู้ LTV ไม่เกิน 90% แต่ถ้าปล่อยกู้เกินจากนี้ ผลกระทบจะเกิดกับสถาบันการเงิน ซึ่งจะต้องใช้เกณฑ์น้ำหนักความเสี่ยง (RW) สูง และเงินกองทุนสูงด้วย ส่วนสัญญาที่ 2 หากผ่อนสัญญาแรกไม่ถึง 3 ปี ผ่อนดาวน์ 20% ปล่อยกู้ไม่เกิน 80% และสัญญาที่ 3 ขึ้นไป ทุกระดับราคาจะเข้มวางดาวน์เป็น 30% โดยปล่อยกู้ไม่เกิน 70% เท่านั้น"
ทั้งนี้ จะเริ่มใช้บังคับกับสัญญากู้ซื้อที่อยู่อาศัยปล่อยใหม่และรีไฟแนนซ์ ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 2562 เป็นต้นไป โดยจะยกเว้นกรณีที่มีสัญญาจะซื้อจะขายก่อนวันที่ 15 ต.ค. 2561 เพื่อลดผลกระทบต่อผู้ที่วางแผนซื้อที่อยู่อาศัย หรือ ผ่อนดาวน์อยู่ก่อนแล้ว
อย่างไรก็ตาม ธปท. ระบุว่า วัตถุประสงค์การปรับเกณฑ์ครั้งนี้เพื่อ (1) ดูแลประชาชนที่ต้องการกู้ซื้อที่อยู่อาศัยให้สามารถซื้อบ้านได้ในราคาที่เหมาะสม (2) ยกระดับมาตรฐานการพิจารณาสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของสถาบันการเงิน และ (3) เป็นมาตรการเชิงป้องกันเพื่อดูแลความเสี่ยงเชิงระบบ ซึ่งที่ผ่านมา ปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์เป็นหนึ่งในต้นตอสำคัญของวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดทั่วโลก ทั้งนี้ ธปท. จะติดตามการปรับตัวของภาคส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด โดยเน้นการตรวจสอบให้สถาบันการเงินมีแนวนโยบายและพิจารณาสินเชื่อตามหลักเกณฑ์ฯ
นายจาตุรงค์ จันทรังษ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการสายกำกับสถาบันการเงิน และนายสมชาย เลิศลาภวศิน ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์สถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ร่วมแถลงหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย เมื่อวันที่ 9 พ.ย. 2561
นายจาตุรงค์ กล่าวว่า คณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน (กนส.) และคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้นำความเห็นที่ได้รับจากการเปิดรับฟังความเห็นมาประกอบการพิจารณา และสรุปหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ประกอบด้วย 1.การกำหนดเงินดาวน์ขั้นต่ำ หรือ อัตราส่วนสินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (LTV) ให้สะท้อนความเสี่ยงได้ดีขึ้น สำหรับที่อยู่อาศัยที่มีราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาท และสัญญาแรกอยู่ระหว่างผ่อนชำระ โดยกรณีผ่อนชำระสัญญาแรกตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป สัญญาที่ 2 ต้องวางดาวน์ 10% และถ้าผ่อนชำระสัญญาแรกยังไม่ถึง 3 ปี ต้องวางดาวน์ 20%
ส่วนกรณีกู้สัญญาที่ 3 ขึ้นไป โดยที่สัญญาอื่นยังผ่อนชำระไม่หมด จะต้องวางดาวน์ 30% ส่วนกรณีบ้านที่มีมูลค่าตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป จะต้องวางดาวน์ 20% ตั้งแต่สัญญษาที่ 1 และ 2 และสัญญาที่ 3 จะต้องวางดาวน์ 30%
ทั้งนี้ เกณฑ์ดังกล่าวจะไม่กระทบประชาชนที่กู้ซื้อที่อยู่อาศัยหลังแรกที่ราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาท ที่ไม่ต้องวางดาวน์เหมือนเดิม และเกณฑ์ LTV ไม่บังคับใช้กับการกู้เพื่อสร้างที่อยู่อาศัยบนที่ดินของตนเอง และไม่กระทบการรีไฟแนนซ์ที่มีภาระผ่อนเพียงหนึ่งหลัง โดยการรีไฟแนนซ์ที่อยู่อาศัยในทุกกรณีให้ใช้ราคาประเมินใหม่เพื่อสะท้อนมูลค่าปัจจุบัน
ส่วนการนับรวมสินเชื่ออื่นที่เกี่ยวเนื่องกับสินเชื่อที่อยู่อาศัย ที่ใช้หลักประกันเดียวกัน หรือ Top-up นั้น ให้ยกเว้น สินเชื่อที่ใช้ชำระเบี้ยประกันชีวิตผู้กู้และประกันวินาศภัย ซึ่งช่วยป้องกันความเสี่ยงของทั้งผู้กู้และสถาบันการเงิน และสินเชื่อที่ให้กับธุรกิจ SMEs เพื่อสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของผู้ประกอบการรายย่อย
"ภายใต้เกณฑ์ดังกล่าว สำหรับราคาที่อยู่อาศัยต่ำกว่า 10 ล้านบาท สัญญาแรกไม่บังคับวางเงินดาวน์ขั้นต่ำ ถ้าปล่อยกู้รวมสินเชื่อ Top-up แล้ว ต้องไม่เกิน 100% กรณีผ่อนดาวน์ 10% ปล่อยกู้ LTV ไม่เกิน 90% แต่ถ้าปล่อยกู้เกินจากนี้ ผลกระทบจะเกิดกับสถาบันการเงิน ซึ่งจะต้องใช้เกณฑ์น้ำหนักความเสี่ยง (RW) สูง และเงินกองทุนสูงด้วย ส่วนสัญญาที่ 2 หากผ่อนสัญญาแรกไม่ถึง 3 ปี ผ่อนดาวน์ 20% ปล่อยกู้ไม่เกิน 80% และสัญญาที่ 3 ขึ้นไป ทุกระดับราคาจะเข้มวางดาวน์เป็น 30% โดยปล่อยกู้ไม่เกิน 70% เท่านั้น"
ทั้งนี้ จะเริ่มใช้บังคับกับสัญญากู้ซื้อที่อยู่อาศัยปล่อยใหม่และรีไฟแนนซ์ ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 2562 เป็นต้นไป โดยจะยกเว้นกรณีที่มีสัญญาจะซื้อจะขายก่อนวันที่ 15 ต.ค. 2561 เพื่อลดผลกระทบต่อผู้ที่วางแผนซื้อที่อยู่อาศัย หรือ ผ่อนดาวน์อยู่ก่อนแล้ว
อย่างไรก็ตาม ธปท. ระบุว่า วัตถุประสงค์การปรับเกณฑ์ครั้งนี้เพื่อ (1) ดูแลประชาชนที่ต้องการกู้ซื้อที่อยู่อาศัยให้สามารถซื้อบ้านได้ในราคาที่เหมาะสม (2) ยกระดับมาตรฐานการพิจารณาสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของสถาบันการเงิน และ (3) เป็นมาตรการเชิงป้องกันเพื่อดูแลความเสี่ยงเชิงระบบ ซึ่งที่ผ่านมา ปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์เป็นหนึ่งในต้นตอสำคัญของวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดทั่วโลก ทั้งนี้ ธปท. จะติดตามการปรับตัวของภาคส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด โดยเน้นการตรวจสอบให้สถาบันการเงินมีแนวนโยบายและพิจารณาสินเชื่อตามหลักเกณฑ์ฯ
