แพทยสมาคมฯ ชวนมอบพลังบวก ผู้ป่วย "ไบโพลาร์"

06 พ.ย. 2561 | 10:03 น.
คนไทยประมาณ 10-15% มีปัญหาสุขภาพจิต แต่มีเพียง 1% เท่านั้นที่มาพบแพทย์

ในขณะที่ ประเทศไทย พบว่า มีผู้ป่วยโรคอารมณ์แปรปรวน หรือ ทางการแพทย์เรียกว่า "ไบโพลาร์" เป็นจำนวนับหลายแสนคน โดยจากรายงานล่าสุดในการให้บริการผู้ป่วยจิตเวชของประเทศไทย กรมสุขภาพจิต และคลังข้อมูลการแพทย์และสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข ปี 2559 พบว่า มีผู้ป่วยโรคไบโพลาร์ทั้งสิ้น 32,502 คน จากผู้ป่วยจิตเวชทั้งหมด 712,359 คน

และยังมีอีกจำนวนมากที่ยังไม่ทราบว่าตนป่วย หรือ ไม่กล้ามาพบแพทย์ จึงไม่อยากให้เกิดความชะล่าใจ เพราะหากไม่ได้รับการรักษา อาจทำให้ผู้ป่วยมีอาการรุนแรงมากยิ่งขึ้น เนื่องจากไม่คิดว่าเป็นอาการของโรคแปรปรวน และหากปล่อยไว้อาจเกิดอันตรายได้ทั้งกับตัวผู้ป่วยเอง คนใกล้ชิด และสังคมรอบข้างได้ เนื่องด้วยผู้ป่วยมักใช้ความรุนแรงทะเลาะเบาะแว้งในครอบครัว บางครั้งก็มาจากการที่มีอารมณ์แบบสุดขั้ว บางรายมีอาการซึมเศร้าถึงขั้นฆ่าตัวตาย ซึ่งจากสถิติพบว่า คนไข้ 1 ใน 5 สามารถฆ่าตัวตายได้สำเร็จ


บรรยากาศงาน_resize

ศ.นพ.รณชัย คงสกนธ์ นายกแพทยสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เปิดเผยว่า "โรคทางจิตเวช" ถือเป็นหนึ่งในกลุ่ม 7 โรค ที่แพทยสมาคมฯ ได้ดำเนินงานอยู่ภายใต้ "โครงการอุ่นใจเมื่อใกล้ แพทยสมาคมฯ"

สำหรับปีนี้ 'ไบโพลาร์' คือ หนึ่งในโรคทางจิตเวช ได้ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นกระแสในสังคม ทำให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น แพทยสมาคมแห่งประเทศไทยฯ จึงถือโอกาสเปิดตัว "โครงการอุ่นรัก อุ่นใจ ไบโพลาร์ Healthy Mind, Happy Life" ขึ้น เพื่อสร้างพลังในเชิงบวกให้กับกลุ่มผู้ป่วยและครอบครัวผู้ป่วย รวมถึงสะท้อนถึงมุมมองและประสบการณ์ตรงของผู้ป่วยและคนในครอบครัว เพื่อสร้างความเข้าใจให้แก่คนในสังคม ได้รับรู้ถึงความรู้สึก และเข้าใจอาการของผู้ป่วยไบโพลาร์ รวมถึงผู้ป่วยทางจิตเวชให้มากยิ่งขึ้น เพื่อผู้ป่วยกลุ่มนี้จะได้มีที่ยืนในสังคมได้อย่างเป็นธรรม


รศ. นพ. ชวนันท์ และ ศ.นพ.รณชัย_resize

"โครงการอุ่นรัก อุ่นใจ ไบโพลาร์นี้ จะมุ่งสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องผ่านกิจกรรมการสัญจรให้ความรู้เกี่ยวกับโรคไบโพลาร์ ทั้งในกรุงเทพฯ และจังหวัดต่าง ๆ เพื่อให้สังคมช่วยกันสังเกตพฤติกรรมคนใกล้ชิด เพื่อเข้ารับการรักษาอย่างถูกวิธี เนื่องจากเป็นโรคที่รักษาได้และสามารถอยู่ร่วมกับคนในสังคมได้อย่างมีความสุข ซึ่งกำลังใจจากครอบครัวและคนรอบข้าง รวมถึงได้รับการยอมรับจากสังคมเป็นสิ่งสำคัญที่สุด"

รศ.นพ.ชวนันท์ ชาญศิลป์ นายกสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย กล่าวถึงสาเหตุของการเกิดโรคไบโพลาร์ ว่า มีอยู่หลายปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้อง ทั้งทางพันธุกรรม สิ่งแวดล้อม หรือ การเลี้ยงดู โดยทางพันธุกรรมนั้น ในครอบครัวที่พ่อแม่ป่วยโรคนี้ ลูกก็จะมีโอกาสเสี่ยงเป็นไบโพลาร์มากกว่าคนอื่น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นกันทุกคน รวมถึงการเลี้ยงดู หากเลี้ยงดูจนทำให้เด็กเกิดความเครียด หรือ ไม่สามารถปรับตัวได้ ก็เสี่ยงที่จะเกิดการกระตุ้นให้เกิดโรคได้มากขึ้น ส่วนสิ่งแวดล้อมเป็นตัวสำคัญที่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในสมอง ทำให้การควบคุมอารมณ์เปลี่ยนไป


ภาพวาด โดยผู้ป่วยไบโพลาร์_resize_resize

ผู้ป่วยโรคไบโพลาร์จะมีอารมณ์แปรปรวนที่ผิดปกติแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ได้แก่ อารมณ์เศร้าหรืออารมณ์รื่นเริงสนุกสนานผิดปกติ ในช่วงระยะอารมณ์ซึมเศร้าจะมีอาการแบบนี้ติด ๆ กันนานถึง 2 สัปดาห์ – 1 เดือน ผู้ป่วยจะมีอารมณ์เศร้า หดหู่ ร้องไห้ง่าย เบื่ออาหาร รู้สึกว่าชีวิตตนเองไม่มีคุณค่า มองตัวเองในแง่ลบ และมีความคิดฆ่าตัวตาย ส่วนในช่วงที่มีอารมณ์รื่นเริงสนุกสนานผิดปกตินานติด ๆ กัน 2 สัปดาห์ - 1 เดือนเช่นกัน ผู้ป่วยจะรู้สึกมีความสุขมาก อารมณ์ดีมากกว่าปกติ คึกคัก มีความมั่นใจมากขึ้น แต่ขาดความยับยั้งชั่งใจ หากถูกห้ามปรามหรือขัดขวางในสิ่งที่ต้องการ จะหงุดหงิด ฉุนเฉียว ในรายที่มีอาการรุนแรงจะพบมีอาการหลงผิดแบบมีพลังวิเศษ หรือ มีความสามารถพิเศษเหนือคนอื่น จนถึงมีภาวะหวาดระแวงได้


คุณหมวย_resize

อดีตนักแสดง คุณหมวย-สุภาภรณ์ คำนวณศิลป์ กล่าวว่า ตอนแรกคนรอบข้างไม่เข้าใจเรา คิดว่าหมวยเป็นบ้า เป็นคนเหวี่ยงวีน ช่วงนั้นควบคุมสติไม่ได้ ปกติเราอาจจะโกรธแค่ระดับ 5 แต่ถ้าคนที่เป็นโรคนี้ โกรธได้ถึงระดับ 100 จริง ๆ หมวยพยายามควบคุมอารมณ์ แต่มันทำไม่ได้ เพราะโรคไบโพลาร์เกิดจากสารเคมีในสมองไม่เท่ากัน มันเป็นโรคที่เครียด ผิดหวัง เรื่องที่ไม่คาดคิดจะเกิดขึ้นกับตัว ช่วงนั้นโปแตสเซียมตก ต้องถูกนำตัวส่งห้อง ICU ก่อนหน้านี้ มีอาการขึ้น ๆ ลง ๆ แบบ 2 ขั้ว เวลามีความสุขก็แทบจะอยากจุดพลุ แต่ถ้ามีอะไรสะกิดปั๊บมันจะดิ่งลงมา รู้สึกว่าต้องฆ่าตัวตายเดี๋ยวนี้ จนรู้สึกว่าเริ่มรับมือไม่ไหว ก็เลยไปหาหมอดีกว่า


ดีเจเคนโด้ และคุณแม่บนเวที_resize

และอีกประสบการณ์ตรงของ "ดีเจเคนโด้-เกรียงไกรมาศ พจนสุนทร" ในฐานะที่เคยป่วยเป็นไบโพลาร์ ขอแชร์เพื่อจุดประกายคนที่กำลังป่วย หรือ คนที่มีโอกาสเป็นโรคนี้ ถ้าได้รับการรักษาอย่างถูกต้องก็สามารถหายใช้ชีวิตปกติได้ครับ ช่วงที่ผมป่วยระยะ Mania มีอาการถึงขั้นคิดว่าสามารถเข้าทรงได้ คิดว่าตัวเองเป็นผู้วิเศษ นี่มันเป็นอาการของโรคเลย คือ เห็นตัวเองมีอำนาจวิเศษ มันจะค่อย ๆ ขยับตัวเองขึ้นไป เช่น ฉันเก่ง เก่งมาก เริ่มมีอำนาจวิเศษ บางคนถึงขั้นคิดว่าตัวเองเหาะเหินเดินอากาศได้ ขึ้นไปบนตึกแล้วกระโดดลงมา เพราะคิดว่าตัวเองบินได้ เนื่องจากสมองสั่งให้มีพฤติกรรมเช่นนั้น


ภาพรวมคุณหมอ_resize

ส่วนด้านพฤติกรรมความก้าวร้าว ผมเคยถึงขั้นชี้หน้าว่าแขกรับเชิญและผู้ร่วมงานด้วยถ้อยคำรุนแรงและหยาบคาย และเมื่อเข้าสู่ระยะ Depressed จะเริ่มรู้สึกว่า ไม่อยากจะทำอะไร นอนไม่หลับ อยากจะอยู่แต่บนเตียง ไม่อยากทำงาน ร้องไห้ ขับรถมาทำงานก็ร้องได้ ถึงขั้นทำร้ายตัวเอง ทั้งหมดทั้งมวลแล้วเป็นตัวเราที่ถูกครอบด้วยโรค เมื่อเรารู้ไม่ทันมัน เรารักษาไม่ทันมัน ก็จะเกิดความเสียหายทางร่างกายและจิตใจของทั้งตัวเองและครอบครัว จึงอยากเป็นกระบอกเสียงให้คนเข้าใจว่า ผู้ป่วยไบโพลาร์ "ไม่ใช่คนบ้า ไม่ใช่คนโรคจิต" แต่จัดอยู่ในกลุ่มของโรคทางอารมณ์ที่จะสามารถรักษาหายได้ด้วยยาและจิตบำบัด ผมจะบอกเสมอ การไปหาจิตแพทย์ไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอะไรเลย การไปหาจิตแพทย์มันเป็นสิ่งที่ดีมาก ๆ เมื่อเราได้ปรึกษา เราจะได้ตัดเรื่องอารมณ์ความคิดอะไรออกไป เราจะมีสติมากขึ้น

ศ.นพ.รณชัย คงสกนธ์ นายกแพทยสมาคมแห่งประเทศไทยฯ กล่าวปิดท้ายว่า โรคนี้สามารถรักษาได้ หากได้รับการติดตามและดูแลอย่างเหมาะสม ในขณะเดียวกัน ก็สามารถกลับมาเป็นซ้ำได้ถึง 80-90% โดยมีหลายปัจจัยเป็นตัวกระตุ้น เช่น เหตุการณ์ที่สะเทือนใจ เหตุการณ์พลิกผันในชีวิต ซึ่งไม่เคยคาดคิดมาก่อน ภาวะความเครียดรุมเร้า ตลอดจนการใช้สารเสพติด เป็นต้น ดังนั้น การรักษาด้วยการรับประทานยาอย่างต่อเนื่องจึงสำคัญที่สุด

สำหรับโครงการ "อุ่นรัก อุ่นใจ ไบโพลาร์ Happy Mind, Happy Life" จะจัดโรดโชว์ใน 3 จังหวัดเป้าหมาย ได้แก่ ลำพูน อุดรธานี และสงขลา เพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับโรคทางจิตเวช และสนับสนุนกลุ่มผู้ป่วยในพื้นที่รวมทั้งเครือข่ายครอบครัวของผู้ป่วย ในการจัดการกับโรคจิตเวชเพื่อความผาสุกของชีวิตและสังคม

e-book-1-503x62-7