16 ชาติอาร์เซ็ปลุยถกโค้งสุดท้าย! เตรียมชงเวทีผู้นำอาเซียนช่วยเข็นต่อ

30 ต.ค. 2561 | 09:55 น.
พาณิชย์ เผย ประชุมอาร์เซ็ป ครั้งที่ 24 ที่นิวซีแลนด์ รุกคืบ 16 ประเทศ แอ็กทีฟ เร่งหาข้อสรุปทุกข้อบทการเจรจา เตรียมรายงานผลประชุมต่อรัฐมนตรีและผู้นำในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 33 ในเดือน พ.ย. ที่จะถึงนี้ ไทยลั่น! ใช้บทบาทประธานอาเซียนดันเต็มที่

นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ รองอธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การประชุมคณะกรรมการเจรจาจัดทำความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ครั้งที่ 24 ระหว่างวันที่ 18-27 ต.ค. 2561 ณ เมืองโอ็คแลนด์ ประเทศนิวซีแลนด์ ซึ่งเป็นการประชุมระดับเทคนิครอบสุดท้ายของปี 2561 โดยที่ประชุมเร่งผลักดันการเจรจาตามแนวทางที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีอาร์เซ็ป เมื่อวันที่ 13 ต.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งคณะเจรจาได้เร่งหารือแบบ 2 ฝ่าย เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ตอบสนองต่อข้อเรียกร้องของสมาชิกมากที่สุด ซึ่งจะนำไปสู่การสรุปผลการเจรจาอย่างมีนัยสำคัญภายในปีนี้

 

[caption id="attachment_340057" align="aligncenter" width="503"] รณรงค์ พูลพิพัฒน์ รณรงค์ พูลพิพัฒน์[/caption]

การประชุมรอบนี้เป็นรอบที่มีความสำคัญมาก โดยสมาชิกอาร์เซ็ปทั้ง 16 ประเทศ ต่างเพิ่มความพยายามอย่างเต็มที่ในการหาข้อสรุปเรื่องสำคัญให้เป็นไปตามเป้าหมายความสำเร็จของการเจรจาในปีนี้ ทั้งนี้ สามารถหาข้อสรุปด้านกฎเกณฑ์ที่สำคัญได้ ได้แก่ เรื่องกฎถิ่นกำเนิดสินค้าสามารถสรุปหลักเกณฑ์ในการพิจารณากฎถิ่นกำเนิดสินค้าเฉพาะรายสินค้าได้ตามเป้า ซึ่งจะช่วยให้ไทยสามารถประเมินประโยชน์ที่จะได้รับในภาพรวมจากการเปิดตลาดสินค้าของประเทศสมาชิกได้ชัดเจน และจะช่วยให้ผู้ประกอบการได้ใช้เกณฑ์ถิ่นกำเนิดสินค้าที่เหมาะสมกับรูปแบบการผลิตสินค้ายิ่งขึ้น รวมทั้งเรื่องกลไกการระงับข้อพิพาทที่จะใช้กับความตกลงอาร์เซ็ปทุกข้อบทเพื่อรักษาสมดุลระหว่างผลประโยชน์ของสมาชิก 16 ประเทศ

ในส่วนของการเปิดตลาด คณะทำงานเร่งเดินหน้าหารือ 2 ฝ่าย อย่างเข้มข้น ในการพยายามปรับปรุงข้อเสนอเปิดตลาดให้สอดคล้องกับเป้าหมายตามแนวทางของรัฐมนตรีอาร์เซ็ป เพื่อเตรียมยื่นข้อเสนอเปิดตลาดสินค้า บริการ และการลงทุน รอบสุดท้าย ในวันที่ 2 พ.ย. 2561 โดยอาร์เซ็ปมีการหารือเพื่อยื่นข้อเสนอเปิดตลาดครอบคลุมสินค้าทุกรายการแต่สมาชิกยังสามารถสงวนสินค้าที่อ่อนไหวไม่นำมาลดภาษีได้ เช่นเดียวกับการค้าบริการและการลงทุนมีการเปิดครอบคลุมทุกสาขา แต่สมาชิกยังคงสามารถสงวนสาขาที่อ่อนไหวได้ นอกจากนี้ ได้มีการหารือเรื่องมาตรการสุขอนามัยพืช (SPS) อย่างเข้มข้น โดยเฉพาะเรื่องกลไกระงับข้อพิพาทภายใต้บทดังกล่าวจะเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ส่งออกสินค้ามีกลไกและกระบวนการพิเศษเพิ่มเติมจากความตกลงขององค์การการค้าโลก (WTO) ที่ผู้ส่งออกสามารถนำมาใช้เพื่อแก้ไขข้อพิพาท จึงเป็นโอกาสอันดีของไทยที่ผู้ประกอบการสามารถใช้ประโยชน์จากความตกลงโดยเฉพาะสินค้าเกษตร และสามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงทางการค้ารูปแบบใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว


อาร์เซ็ป2

"ผลจากการประชุมรอบนี้ คณะกรรมการเจรจาฯ จะรายงานให้รัฐมนตรีทราบในการประชุมเตรียมการรัฐมนตรีอาร์เซ็ป วันที่ 12 พ.ย. 2561 พร้อมกับจะเสนอให้รัฐมนตรีพิจารณาประเด็นคงค้างที่ยังตกลงกันไม่ได้ แต่เป็นประเด็นที่ใกล้จะสรุปได้แล้ว อาทิ การแข่งขัน มาตรการสุขอนามัยพืช (SPS) และกฎระเบียบทางเทคนิค (STRACAP) เพื่อสรุปผลให้ได้ตามเป้าหมายความสำเร็จของการเจรจาในปี 2561 นอกจากนี้ รัฐมนตรีจะต้องรายงานความคืบหน้าการเจรจาให้ผู้นำรับทราบในวันที่ 14 พ.ย. 2561 ช่วงการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 33 ณ ประเทศสิงคโปร์ สำหรับปีหน้า ไทยในฐานะประธานอาเซียน ยืนยันพร้อมเดินหน้าเพิ่มความพยายามอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถสรุปผลการเจรจาได้ทั้งหมดในปี 2562"


อาร์

สำหรับความตกลงอาร์เซ็ปเป็นความตกลงการค้าเสรีที่ครอบคลุมประชากรกว่า 3,560 ล้านคนของประเทศสมาชิกในภูมิภาค มีมูลค่าการค้ารวมกว่า 10 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 29% ของมูลค่าการค้าโลก อีกทั้งครอบคลุมประเด็นทางการค้าการลงทุนที่หลากหลาย มีมาตรฐานสูง และร่วมมือกันในเชิงลึก ที่ผ่านมา ประเทศในภูมิภาคอาร์เซ็ปที่ไทยส่งออกมากที่สุด ได้แก่ อาเซียน จีน ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย (ตามลำดับ) และมีสินค้าสำคัญที่ไทยส่งออก ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เม็ดพลาสติก น้ำมันสำเร็จรูป เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์ยาง ยางพารา เครื่องจักรกล เหล็ก

อย่างไรก็ดี จากผลการศึกษาของกรมฯ ร่วมกับสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย พบว่า เมื่อความตกลงมีผลบังคับใช้จะทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของไทยเพิ่มขึ้นกว่า 14% การส่งออกเพิ่มขึ้น 15% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด และมีการนำเข้าเพิ่มขึ้น 13% ของมูลค่าการนำเข้าทั้งหมด ซึ่งกระทรวงพาณิชย์จะติดตามความคืบหน้าของการเจรจาอย่างใกล้ชิด และรายงานผลให้ประชาชนและผู้ประกอบการทราบต่อไป


e-book-1-503x62-7