บทวิเคราะห์ฝ่ายวิจัยบริษัทหลักทรัพย์เอเชีย พลัส ( ASP ) ระบุว่าสถานะของ LTF สิ้นเดือนกรกฏาคม 2561 มีจํานวน 87 กอง มูลค่าสินทรัพย์สุทธิรวม 3.78 แสนล้านบาท โดยการลงทุนใน LTF จะได้รับสิทธิลดหย่อนทางภาษีไปจนถึงปี 2562 ทั้งนี้หากไม่มีการต่ออายุเรื่องสทธิประโยชน์ทางภาษีออกไป การลงทุนใน LTF หลังปี 2562 จะไม่แตกต่างกับ Equity Fund ทั่วไป ซึ่งอาจทำให้เกิดผลกระทบต่อ SET Index ใน 2 ระดับ คือ
1) การขาดเม็ดเงินลงทุนใหม่ เข้ามาหนุน ซึ่งมูลค่าการซื้อ LTF ต่อปีน่าจะอยู่ที่ราว 6 – 6.5 หมี่นล้านบาท 2) อาจเกิดแรงขายจากสวนที่ครบเงื่อนไขได้รับสิทธิพิเศษทางภาษี (ถือมาครบ 5 – 7 ปีปฎิทิน ) ในส่วนนี้ฝายวิจัยประเมินว่า ราว 2.2 แสนล้านบาท ที่สามารถขายได้ตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นไป ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้ถือหน่วย ผลกระทบทั้ง 2 ระดับ อาจทําให้บทบาทของนักลงทุนสถาบันซึ่งเป็นผู้ซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยต่อเนื่องมาตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2555 ลดลง
[caption id="attachment_338711" align="aligncenter" width="336"]
วิน อุดมรัชตวนิชย์[/caption]
ดร.วิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด หรือ KTBST กล่าวกับ “ฐานเศรษฐกิจ “ กล่าวว่าหากภาครัฐไม่ต่ออายุสิทธิประโยชน์ภาษี LTF จะมีผลกระทบในปี 2563 โดยจะเป็นปีแรกที่ไม่มีเงินก้อนใหม่เข้ามาหนุน จากที่เข้ามาปีละ 6 -7 หมื่นล้านบาท
“ถามว่าน่าห่วงไหม หากไม่มีเม็ดเงินลงทุนใหม่จากสถาบันเข้ามาปีละ 6 -7 หมื่นล้านบาท ผมมองว่าไม่น่าห่วง แต่หากปีนั้นไม่มีปัจจัยบวกเข้ามาเติมตลาด เงินก้อนนี้ก็ถือว่าสำคัญ การหายไป 6 -7 หมื่นล้านบาทก็น่าเสียดาย “