ทริสฯ จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน วงเงินไม่เกิน 4 พันล้านบาท "QH" ที่ระดับ "A-/Stable"

25 ต.ค. 2561 | 00:29 น.
ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ บริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ QH ที่ระดับ "A-" พร้อมทั้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ ในวงเงินไม่เกิน 4,000 ล้านบาท ไถ่ถอนภายใน 3 ปี ของบริษัทที่ระดับ "A-" ด้วยเช่นกัน โดยบริษัทจะนำเงินจากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้ชำระหนี้บางส่วนและเพื่อขยายธุรกิจ

อันดับเครดิตสะท้อนถึงผลงานที่ยาวนานของบริษัทในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ตลอดจนสถานะที่แข็งแกร่งในตลาดบ้านจัดสรรระดับราคาปานกลางถึงสูง และความยืดหยุ่นทางการเงินจากการมีเงินลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง

อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตก็สะท้อนความกังวลของทริสเรทติ้งเกี่ยวกับยอดขายและรายได้ของบริษัทที่ลดลงในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา รวมถึงภาระหนี้ของบริษัทที่อยู่ในระดับปานกลาง ระดับหนี้ครัวเรือนของประเทศที่อยู่ในระดับสูง และลักษณะของธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นวงจรขึ้นลงและมีการแข่งขันสูงด้วย

ผลการดำเนินงานของบริษัทลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ บริษัทมียอดขายในช่วงครึ่งแรกของปี 2561 อยู่ที่ 5,567 ล้านบาท ซึ่งลดลงถึง 27% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากบริษัทไม่มีการเปิดขายโครงการคอนโดมิเนียมแห่งใหม่เลย ณ เดือน มิ.ย. 2561 บริษัทมีมูลค่าโครงการคอนโดมิเนียมที่ยังไม่ได้ส่งมอบ (Backlog) จำนวน 2,867 ล้านบาท โดยเกือบทั้งหมดมาจากโครงการ "Q Sukhumvit" ทั้งนี้ บริษัทคาดว่ายอดขายโครงการคอนโดมิเนียมที่จะทยอยส่งมอบให้แก่ลูกค้า จะมีมูลค่าประมาณ 1,900 ล้านบาท ในช่วงที่เหลือของปี 2561 และ 967 ล้านบาท ในปี 2562

รายได้ของบริษัทก็ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 6,735 ล้านบาท ในช่วงครึ่งแรกของปี 2561 โดยลดลง 15.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อน รายได้จากการขายบ้านพร้อมที่ดินคิดเป็น 83% ของรายได้รวม ส่วนรายได้ที่เหลือมาจากการขายคอนโดมิเนียมและรายได้จากค่าเช่า การมียอดขายรอรับรู้เป็นรายได้ที่ค่อนข้างน้อย ทำให้ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ในอนาคตของบริษัทจะเติบโตไม่มากนักจากระดับในปัจจุบัน อัตราส่วนกำไร (อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้) ของบริษัทอยู่ที่ระดับ 20.7% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2561 เพิ่มขึ้นจากระดับ 12.5%-14.5% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา อัตราส่วนกำไรที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น เป็นผลสืบเนื่องมาจากการมีอัตรากำไรขั้นต้นของโครงการบ้านจัดสรรอยู่ที่ 35% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2561 ซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้นจากค่าเฉลี่ย 30% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา

บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุน ณ เดือน มิ.ย. 2561 อยู่ที่ 45.4% เพิ่มขึ้นจาก 44.6% ณ สิ้นปี 2560

ทริสเรทติ้งคาดว่า อัตราส่วนนี้จะอยู่ที่ประมาณ 50%-55% หรือเมื่อหักด้วยเงินสดแล้ว อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นจะอยู่ที่ประมาณ 1-1.2 เท่า ในช่วง 3 ปีข้างหน้า โดยพิจารณาจากแผนของบริษัทที่จะเปิดโครงการใหม่ มูลค่าประมาณ 10,000-15,000 ล้านบาทต่อปี ทั้งนี้ บริษัทต้องดำรงอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อทุนให้ต่ำกว่า 2.0 เท่า ตามข้อกำหนดสิทธิหุ้นกู้ ในขณะที่ ณ เดือน มิ.ย. 2561 บริษัทมีอัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ 0.83 เท่า

บริษัทยังคงมีสภาพคล่องอยู่ในระดับที่น่าพอใจ ทั้งนี้ บริษัทมีภาระหนี้ที่จะครบกำหนดชำระในอีก 12 เดือนข้างหน้า มูลค่า 9,092 ล้านบาท ซึ่งครึ่งหนึ่งเป็นหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนและส่วนที่เหลือเป็นเงินกู้ยืมระยะสั้น ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะชำระคืนหนี้ส่วนใหญ่ด้วยการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ บริษัทมีเงินสด ณ เดือน มิ.ย. 2561 จำนวน 3,031 ล้านบาท และมีวงเงินกู้จากธนาคารที่ยังไม่ได้เบิกใช้อีก 3,135 ล้านบาท ทริสเรทติ้งคาดว่า บริษัทจะมีเงินทุนจากการดำเนินงานในช่วง 12 เดือนข้างหน้า มากกว่า 3,000 ล้านบาท ในขณะที่ อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินคาดว่าจะอยู่ในช่วง 10%-12%

นอกจากนี้ สภาพคล่องของบริษัทยังได้รับแรงหนุนจากเงินลงทุนจำนวนมากในบริษัท 2 แห่ง ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์อีก 2 แห่งด้วย โดย ณ เดือน มิ.ย. 2561 เงินลงทุนดังกล่าว มีมูลค่ายุติธรรมอยู่ที่ 42,548 ล้านบาท


แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนความคาดหวังของทริสเรทติ้ง ว่า บริษัทจะยังคงสามารถรักษาสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งเอาไว้ได้ในระยะปานกลาง ในช่วงปี 2561-2564 ทริสเรทติ้งคาดว่า รายได้ของบริษัทน่าจะอยู่ในช่วง 18,000-20,000 ล้านบาทต่อปี โดยรายได้จากโครงการบ้านจัดสรรคาดว่าจะคิดเป็นสัดส่วน 75%-80% ของรายได้ทั้งหมด อัตราส่วนกำไรของบริษัทคาดว่าจะทรงตัวอยู่ในช่วง 12%-14% ในขณะที่ อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนคาดว่าจะต่ำกว่า 55% เมื่อพิจารณาจากแผนการเปิดโครงการใหม่ของบริษัทที่มีมูลค่าประมาณ 10,000-15,000 ล้านบาทต่อปี


ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
ทริสเรทติ้งอาจลดอันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทลง หากสถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมาก โดยอาจมีสาเหตุมาจากภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ซบเซาเป็นเวลานาน ซึ่งส่งผลทำให้ยอดขายลดลงจนอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนเพิ่มสูงเกินกว่า 60% เป็นเวลานาน ในทางตรงกันข้าม ทริสเรทติ้งอาจเพิ่มอันดับเครดิตขึ้น หากบริษัทสามารถเพิ่มผลการดำเนินงานได้อย่างมีนัยสำคัญจากระดับปัจจุบัน ในขณะเดียวกัน ก็สามารถรักษาอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนให้อยู่ในระดับต่ำกว่า 50% ได้ในระยะเวลาที่ยาวนานพอสมควร


e-book-1-503x62-7