เที่ยวบินฉาว 'ซูริก' ... ถึงเวลายกเครื่อง "การบินไทย"
ปมขัดแย้งเที่ยวบินฉาวซูริก "TG 971" กรณีนักบินแย่งที่นั่งผู้โดยสาร วันนี้ไม่เพียงเป็นประเด็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ที่พัฒนาไปไกล จนกลายเป็นเรื่องดราม่าในสังคมไทยที่ถูกขยายผลไปอย่างกว้างขวาง จนทำเอางานนี้สังคมแบ่งฝ่ายชัดเจน ระหว่างฝ่ายที่เห็นด้วยกับเหตุผลของนักบิน กับฝ่ายที่เห็นต่างที่มองว่านักบินควรเป็นผู้เสียสละ ร้อนถึงดีดีการบินไทยที่ต้องออกมาขอโทษและตั้งกรรมการสอบในเรื่องนี้
ชี้! ปัญหาขัดแย้งกันเอง
มุมของนักบิน ก็มองว่า นักบินเปลี่ยนกะ หรือ Deadhead Pilot ที่บินมาพร้อมเครื่องบินลำดังกล่าว จะต้องมีการจัดที่นั่งให้เหมาะสม ที่นอนพักผ่อนได้มากที่สุด ซึ่งเป็นไปตามกฎการบินสากล ให้สามารถสะสมชั่วโมงการพักผ่อนเพียงพอตามกฎหมาย เพื่อให้ทำการบินต่อได้
ดังนั้น เมื่อไฟลต์นี้มีการเปลี่ยนเครื่องบินจากโบอิ้ง 777-300ER ที่มีชั้นสูงสุดแค่บิสิเนสคลาส มาเป็นเครื่องบินโบอิ้ง 747-400 ที่มีชั้นเฟิสต์คลาส การที่นักบินจะใช้สิทธิอัพเกรดจากชั้นธุรกิจมายังเฟิสต์คลาส เพื่อการพักผ่อนที่เหมาะสม คือ นอนราบ 180 องศา จึงเป็นสิทธิที่กัปตันควรจะได้ แต่ทำไมผู้จัดการสถานีการบินไทย (KK) ที่ซูริกจึงไม่ยอมเปลี่ยนที่นั่งให้ กลับไปอัพเกรดผู้โดยสารจากชั้นบิสิเนสมาอยู่ในชั้นเฟิสต์คลาส โดยแจ้งว่า ที่นั่งเฟิสต์คลาสเต็มแล้ว
ขณะที่ ผู้โดยสารก็ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ เพราะขึ้นมาแล้วตามตั๋วที่นั่งเดิมที่จองมาในชั้นธุรกิจ ไม่รู้มาก่อนด้วยซํ้าว่าเป็นเฟิสต์คลาส หลังยื้อกันร่วม 2 ชั่วโมงครึ่ง ท้ายที่สุด ทางฝ่ายผู้จัดการสถานีจึงไปต่อรอง โดยมีผู้โดยสาร 2 คน ซึ่งก็คือ นายศักดา พันธ์กล้า อดีตรองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และภรรยา ที่ยอมกลับไปนั่งบิสิเนสคลาสเหมือนเดิม เพราะไม่อยากให้ผู้โดยสารร่วม 300 คนบนเครื่องบิน ต้องดีเลย์การเดินทางออกไปนานกว่าที่เป็นอยู่ จากไฟลต์ที่ต้องออกจากซูริกในเวลา 13.30 น. เลยกลายมาเป็นเทกออฟได้ ในเวลา 15.59 น.
ระบบแก้การจองมีปัญหา
หากถามว่าใครผิดหรือถูก คงต้องรอผลการสอบจากกรรมการสอบสวน ที่ "สุเมธ ดำรงชัยธรรม" ดีดีการบินไทย ตั้งขึ้นมา แต่ผลที่เห็นชัดเจนวันนี้ คือ 1.ชื่อเสียงของการบินไทยที่กระทบชัดเจน จากการเอาผู้โดยสารกว่า 300 คน มาเป็นตัวต่อรองสิทธิของนักบินในครั้งนี้ 2.ระบบการจัดสรรการจองของการบินไทยที่มีช่องโหว่ 3.ปัญหาเรื่องของกระบวนการสื่อสารและการบริหารจัดการหน้างาน ที่ใช้เวลาในการแก้ปัญหาที่ยาวนานมาก 4.การอัพเกรดมีความเหมาะสมหรือไม่ และ 5.ความขัดแย้งระหว่างฝ่ายบินและฝ่ายบริการลูกค้าภาคพื้น
[caption id="attachment_336634" align="aligncenter" width="335"]
สุเมธ ดำรงชัยธรรม[/caption]
ด้าน นายสุเมธ ดำรงชัยธรรม กรรมการและกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ การบินไทย กล่าวว่า ผลการสอบสวนจะต้องรอความชัดเจนในอีก 7 วัน นับจากวันที่ 19 ต.ค. 2561 ที่ผมตั้งกรรมการสอบสวนขึ้นมา ซึ่งเบื้องต้นก็ได้ทราบว่า การอัพเกรดที่นั่งของนักบินก็เป็นไปตามสิทธิ ที่ต้องพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อความปลอดภัย แต่ก็ต้องไปหาคำตอบว่า ทำไมขั้นตอนการเจรจาระหว่างนักบินและผู้จัดการสถานีที่ซูริกจึงใช้เวลานาน ขั้นตอนการเจรจามีการขาดหายไป และยอมรับว่า ระบบการจัดสรรการจองของการบินไทยยังอาจมีช่องโหว่ในเรื่องการปรับแก้ระบบ ซึ่งปัญหาเหล่านี้ต้องสรุปออกมาเพื่อแก้ไขต่อไป และขอโทษต่อเหตุการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้น
แจงสิทธิอัพเกรดตั๋ว
แล้วเหตุการณ์นี้ สังคมยังตั้งข้อสงสัยลามต่อไปถึงสิทธิประโยชน์ของกัปตันและสิทธิประโยชน์ด้านบัตรโดยสารในองค์กรนี้เป็นอย่างไร ตามต่อกันมาอีกระลอกหนึ่งด้วย ซึ่งในอดีตการบินไทยมีการให้สิทธิตั๋วฟรีบอร์ดและอดีตบอร์ด คนละ 20 ใบต่อปี แบ่งเป็นเส้นทางบินในประเทศ 10 เที่ยวบินต่อปี เส้นทางบินระหว่างประเทศ 10 เที่ยวบินต่อปี และทยอยลดลงมาเรื่อย จนปัจจุบันไม่มีเรื่องการให้ตั๋วฟรีแล้ว เนื่องถูกตัดสิทธิไปพร้อมรัฐวิสาหกิจอื่น ๆ ที่ตัดสวัสดิการต่าง ๆ ตั้งแต่ช่วง 'บิ๊กตู่' เป็นประธาน คสช.
วันนี้ตั๋วฟรีจึงให้สิทธิพนักงานการบินไทยเท่านั้น ซึ่งก็เป็นสิทธิที่เหมือนสายการบินอื่น ๆ ให้กับพนักงาน ซึ่งก็ไม่ได้มากมาย และจริง ๆ แล้ว ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ใช้กันได้เต็มที่ เพราะเป็นตั๋ว Stand by (เมื่อมีที่นั่งเหลือขาย) ส่วนการให้สิทธิเฟิสต์คลาส ในอดีตผู้บริหารการบินไทยระดับ 10 ขึ้นไป รวมถึงกัปตัน ได้รับสิทธิบินเฟิสต์คลาส แต่ตอนหลังได้มีการตัดสิทธินี้ไป
โดยในกรณีกัปตันเดินทางไปทำงานให้บริษัท จะได้ที่นั่งในชั้นธุรกิจแทน ยกเว้น ในกรณีที่นั่งในชั้นเฟิสต์คลาสว่าง จึงจะไปนั่งได้ ส่วนในกรณีที่กัปตันจะเดินทางส่วนตัว ปัจจุบัน จะนั่งบิสิเนสคลาสและเฟิสต์คลาสได้ เมื่อมีที่นั่งเหลือขายเท่านั้น
หลังเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นมา อีกนัยหนึ่ง ก็จะเป็นจังหวะที่ดีดีการบินไทยคนใหม่จะเข้ามารื้อระบบ เพื่อพลิกวิกฤติครั้งนี้ เป็นโอกาสในการยกเครื่องการบินไทยเช่นกัน
รายงาน โดย โต๊ะข่าวท่องเที่ยว
หน้า 22 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3412 ระหว่างวันที่ 25 - 27 ตุลาคม 2561
ชี้! ปัญหาขัดแย้งกันเอง
มุมของนักบิน ก็มองว่า นักบินเปลี่ยนกะ หรือ Deadhead Pilot ที่บินมาพร้อมเครื่องบินลำดังกล่าว จะต้องมีการจัดที่นั่งให้เหมาะสม ที่นอนพักผ่อนได้มากที่สุด ซึ่งเป็นไปตามกฎการบินสากล ให้สามารถสะสมชั่วโมงการพักผ่อนเพียงพอตามกฎหมาย เพื่อให้ทำการบินต่อได้
ดังนั้น เมื่อไฟลต์นี้มีการเปลี่ยนเครื่องบินจากโบอิ้ง 777-300ER ที่มีชั้นสูงสุดแค่บิสิเนสคลาส มาเป็นเครื่องบินโบอิ้ง 747-400 ที่มีชั้นเฟิสต์คลาส การที่นักบินจะใช้สิทธิอัพเกรดจากชั้นธุรกิจมายังเฟิสต์คลาส เพื่อการพักผ่อนที่เหมาะสม คือ นอนราบ 180 องศา จึงเป็นสิทธิที่กัปตันควรจะได้ แต่ทำไมผู้จัดการสถานีการบินไทย (KK) ที่ซูริกจึงไม่ยอมเปลี่ยนที่นั่งให้ กลับไปอัพเกรดผู้โดยสารจากชั้นบิสิเนสมาอยู่ในชั้นเฟิสต์คลาส โดยแจ้งว่า ที่นั่งเฟิสต์คลาสเต็มแล้ว
ขณะที่ ผู้โดยสารก็ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ เพราะขึ้นมาแล้วตามตั๋วที่นั่งเดิมที่จองมาในชั้นธุรกิจ ไม่รู้มาก่อนด้วยซํ้าว่าเป็นเฟิสต์คลาส หลังยื้อกันร่วม 2 ชั่วโมงครึ่ง ท้ายที่สุด ทางฝ่ายผู้จัดการสถานีจึงไปต่อรอง โดยมีผู้โดยสาร 2 คน ซึ่งก็คือ นายศักดา พันธ์กล้า อดีตรองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และภรรยา ที่ยอมกลับไปนั่งบิสิเนสคลาสเหมือนเดิม เพราะไม่อยากให้ผู้โดยสารร่วม 300 คนบนเครื่องบิน ต้องดีเลย์การเดินทางออกไปนานกว่าที่เป็นอยู่ จากไฟลต์ที่ต้องออกจากซูริกในเวลา 13.30 น. เลยกลายมาเป็นเทกออฟได้ ในเวลา 15.59 น.
ระบบแก้การจองมีปัญหา
หากถามว่าใครผิดหรือถูก คงต้องรอผลการสอบจากกรรมการสอบสวน ที่ "สุเมธ ดำรงชัยธรรม" ดีดีการบินไทย ตั้งขึ้นมา แต่ผลที่เห็นชัดเจนวันนี้ คือ 1.ชื่อเสียงของการบินไทยที่กระทบชัดเจน จากการเอาผู้โดยสารกว่า 300 คน มาเป็นตัวต่อรองสิทธิของนักบินในครั้งนี้ 2.ระบบการจัดสรรการจองของการบินไทยที่มีช่องโหว่ 3.ปัญหาเรื่องของกระบวนการสื่อสารและการบริหารจัดการหน้างาน ที่ใช้เวลาในการแก้ปัญหาที่ยาวนานมาก 4.การอัพเกรดมีความเหมาะสมหรือไม่ และ 5.ความขัดแย้งระหว่างฝ่ายบินและฝ่ายบริการลูกค้าภาคพื้น
[caption id="attachment_336634" align="aligncenter" width="335"]
ด้าน นายสุเมธ ดำรงชัยธรรม กรรมการและกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ การบินไทย กล่าวว่า ผลการสอบสวนจะต้องรอความชัดเจนในอีก 7 วัน นับจากวันที่ 19 ต.ค. 2561 ที่ผมตั้งกรรมการสอบสวนขึ้นมา ซึ่งเบื้องต้นก็ได้ทราบว่า การอัพเกรดที่นั่งของนักบินก็เป็นไปตามสิทธิ ที่ต้องพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อความปลอดภัย แต่ก็ต้องไปหาคำตอบว่า ทำไมขั้นตอนการเจรจาระหว่างนักบินและผู้จัดการสถานีที่ซูริกจึงใช้เวลานาน ขั้นตอนการเจรจามีการขาดหายไป และยอมรับว่า ระบบการจัดสรรการจองของการบินไทยยังอาจมีช่องโหว่ในเรื่องการปรับแก้ระบบ ซึ่งปัญหาเหล่านี้ต้องสรุปออกมาเพื่อแก้ไขต่อไป และขอโทษต่อเหตุการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้น
แจงสิทธิอัพเกรดตั๋ว
แล้วเหตุการณ์นี้ สังคมยังตั้งข้อสงสัยลามต่อไปถึงสิทธิประโยชน์ของกัปตันและสิทธิประโยชน์ด้านบัตรโดยสารในองค์กรนี้เป็นอย่างไร ตามต่อกันมาอีกระลอกหนึ่งด้วย ซึ่งในอดีตการบินไทยมีการให้สิทธิตั๋วฟรีบอร์ดและอดีตบอร์ด คนละ 20 ใบต่อปี แบ่งเป็นเส้นทางบินในประเทศ 10 เที่ยวบินต่อปี เส้นทางบินระหว่างประเทศ 10 เที่ยวบินต่อปี และทยอยลดลงมาเรื่อย จนปัจจุบันไม่มีเรื่องการให้ตั๋วฟรีแล้ว เนื่องถูกตัดสิทธิไปพร้อมรัฐวิสาหกิจอื่น ๆ ที่ตัดสวัสดิการต่าง ๆ ตั้งแต่ช่วง 'บิ๊กตู่' เป็นประธาน คสช.
วันนี้ตั๋วฟรีจึงให้สิทธิพนักงานการบินไทยเท่านั้น ซึ่งก็เป็นสิทธิที่เหมือนสายการบินอื่น ๆ ให้กับพนักงาน ซึ่งก็ไม่ได้มากมาย และจริง ๆ แล้ว ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ใช้กันได้เต็มที่ เพราะเป็นตั๋ว Stand by (เมื่อมีที่นั่งเหลือขาย) ส่วนการให้สิทธิเฟิสต์คลาส ในอดีตผู้บริหารการบินไทยระดับ 10 ขึ้นไป รวมถึงกัปตัน ได้รับสิทธิบินเฟิสต์คลาส แต่ตอนหลังได้มีการตัดสิทธินี้ไป
โดยในกรณีกัปตันเดินทางไปทำงานให้บริษัท จะได้ที่นั่งในชั้นธุรกิจแทน ยกเว้น ในกรณีที่นั่งในชั้นเฟิสต์คลาสว่าง จึงจะไปนั่งได้ ส่วนในกรณีที่กัปตันจะเดินทางส่วนตัว ปัจจุบัน จะนั่งบิสิเนสคลาสและเฟิสต์คลาสได้ เมื่อมีที่นั่งเหลือขายเท่านั้น
หลังเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นมา อีกนัยหนึ่ง ก็จะเป็นจังหวะที่ดีดีการบินไทยคนใหม่จะเข้ามารื้อระบบ เพื่อพลิกวิกฤติครั้งนี้ เป็นโอกาสในการยกเครื่องการบินไทยเช่นกัน
รายงาน โดย โต๊ะข่าวท่องเที่ยว
หน้า 22 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3412 ระหว่างวันที่ 25 - 27 ตุลาคม 2561
