เปิดแล้ว ... สะพานข้ามทะเลยาวที่สุดในโลก "ฮ่องกง-จูไห่" สร้าง 9 ปี 55 กิโลเมตร
วันที่ 23 ต.ค. 2561 ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีน เป็นประธานในพิธีเปิดใช้สะพาน "ฮ่องกง-จูไห่" อย่างเป็นทางการ สะพานดังกล่าวเป็นสะพานข้ามทะเลที่มีความยาวที่สุดในโลก คือ ยาว 55 กิโลเมตร (หรือ 34 ไมล์) เชื่อมเกาะฮ่องกง มาเก๊า และจีนแผ่นดินใหญ่เข้าด้วยกัน โดยจุดเชื่อมบนฝั่งจีนแผ่นดินใหญ่ คือ เมืองจูไห่ ใช้ระยะเวลาก่อสร้างทั้งสิ้น 9 ปี เงินลงทุนประมาณ 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือกว่า 6.8 แสนล้านบาท กว่าจะสำเร็จลุล่วงต้องพบกับอุปสรรค จนทำให้โครงการล่าช้ากว่ากำหนดหลายครั้งด้วยกัน รวมทั้งอุบัติเหตุที่ทำให้การก่อสร้างต้องถูกระงับหลายครั้ง ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย แต่กระนั้นก็มีสถิติคนงานที่ต้องเสียชีวิตระหว่างปฏิบัติงานก่อสร้างจำนวนอย่างน้อย 18 คน
พิธีเปิดอย่างเป็นทางการมีขึ้นในวันอังคารที่ 23 ต.ค. 2561 โดยมีผู้นำของจีน ฮ่องกง และมาเก๊า ร่วมงาน แต่วันเปิดใช้ช่องทางจราจรบนสะพานจะเริ่มขึ้นในวันที่ 24 ต.ค. 2561 เป็นวันแรก
ความพิเศษของสะพานที่เชื่อม 3 เมืองท่าสำคัญของจีน คือ ฮ่องกง มาเก๊า และจูไห่ คือ การออกแบบให้สะพานมีความแข็งแรงทนทาน สามารถรองรับการเกิดแผ่นดินไหวและพายุไต้ฝุ่น ในการก่อสร้างตัวสะพานนั้น ต้องใช้เหล็กกล้าจำนวนถึง 400,000 ตัน ซึ่งมากพอที่จะสร้างหอไอเฟลได้ถึง 60 หอด้วยกัน
จากความยาวรวม 55 กิโลเมตรนั้น สะพานส่วนหนึ่ง คือ ประมาณ 30 กิโลเมตร จะเป็นส่วนที่อยู่เหนือน้ำทะเล และบางส่วนจะมุดลงใต้ทะเลสู่อุโมงค์ใต้น้ำที่เชื่อมระหว่าง 2 เกาะ ที่ใช้ดินถมสร้างขึ้นใหม่กลางทะเล เพื่อที่เรือเดินสมุทรขนาดใหญ่จะสามารถแล่นผ่านเหนือส่วนที่เป็นอุโมงค์ใต้ทะเล
การก่อสร้างสะพานแห่งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนาพื้นที่ ที่เรียกว่า Greater Bay Area ซึ่งครอบคลุมพื้นที่เมืองท่าสำคัญของจีน ได้แก่ ฮ่องกง มาเก๊า และอีก 9 เมืองชายฝั่งภาคใต้ของจีนแผ่นดินใหญ่ มีประชากรในพื้นที่ราว 68 ล้านคน ในอดีตการเดินทางจากเมืองจูไห่มายังฮ่องกงต้องใช้เวลาเดินทาง 4 ชั่วโมง แต่เมื่อมีสะพานใหม่แห่งนี้ก็จะสามารถเดินทางถึงกันได้ในเวลาเพียง 30 นาทีเท่านั้น
ผู้ที่จะเดินทางข้ามสะพานต้องยื่นขอใบอนุญาตก่อน และรถทุกคันที่ขึ้นใช้สะพานต้องเสียค่าธรรมเนียม สะพานแห่งนี้ไม่ได้เปิดใช้สำหรับรถขนส่งสาธารณะ แต่รถโดยสารแบบเช่าเหมาสามารถวิ่งได้ โดยการยื่นขอใบอนุญาตก่อน ช่องทางจราจรบนสะพานมีไว้สำหรับรถยนต์เท่านั้น ไม่มีเส้นทางรถไฟ เป็นที่คาดหมายในเบื้องต้นว่า แต่ละวันจะมีรถชนิดต่าง ๆ วิ่งบนสะพานราว 9,200 คัน แต่อาจจะไม่มีวันคุ้มทุน เนื่องจากลงทุนไปสูงมาก คือ ราว 20,000 ล้านดอลลาร์ แต่รายได้จากการเก็บค่าธรรมเนียมประมาณการว่าจะเก็บได้ปีละ 86 ล้านดอลลาร์เท่านั้น ซึ่งเพียงค่าบำรุงรักษาสะพานในแต่ละปีก็เท่ากับ 1 ใน 3 ของเงินรายได้ดังกล่าวแล้ว กระนั้นก็ตาม นี่คือ สะพานที่เป็นสัญลักษณ์อย่างยั่งยืนว่า ฮ่องกงกับจีนแผ่นดินใหญ่ได้เชื่อมต่อเป็นหนึ่งเดียวกันทางกายภาพแล้ว
พิธีเปิดอย่างเป็นทางการมีขึ้นในวันอังคารที่ 23 ต.ค. 2561 โดยมีผู้นำของจีน ฮ่องกง และมาเก๊า ร่วมงาน แต่วันเปิดใช้ช่องทางจราจรบนสะพานจะเริ่มขึ้นในวันที่ 24 ต.ค. 2561 เป็นวันแรก
ความพิเศษของสะพานที่เชื่อม 3 เมืองท่าสำคัญของจีน คือ ฮ่องกง มาเก๊า และจูไห่ คือ การออกแบบให้สะพานมีความแข็งแรงทนทาน สามารถรองรับการเกิดแผ่นดินไหวและพายุไต้ฝุ่น ในการก่อสร้างตัวสะพานนั้น ต้องใช้เหล็กกล้าจำนวนถึง 400,000 ตัน ซึ่งมากพอที่จะสร้างหอไอเฟลได้ถึง 60 หอด้วยกัน
จากความยาวรวม 55 กิโลเมตรนั้น สะพานส่วนหนึ่ง คือ ประมาณ 30 กิโลเมตร จะเป็นส่วนที่อยู่เหนือน้ำทะเล และบางส่วนจะมุดลงใต้ทะเลสู่อุโมงค์ใต้น้ำที่เชื่อมระหว่าง 2 เกาะ ที่ใช้ดินถมสร้างขึ้นใหม่กลางทะเล เพื่อที่เรือเดินสมุทรขนาดใหญ่จะสามารถแล่นผ่านเหนือส่วนที่เป็นอุโมงค์ใต้ทะเล
การก่อสร้างสะพานแห่งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนาพื้นที่ ที่เรียกว่า Greater Bay Area ซึ่งครอบคลุมพื้นที่เมืองท่าสำคัญของจีน ได้แก่ ฮ่องกง มาเก๊า และอีก 9 เมืองชายฝั่งภาคใต้ของจีนแผ่นดินใหญ่ มีประชากรในพื้นที่ราว 68 ล้านคน ในอดีตการเดินทางจากเมืองจูไห่มายังฮ่องกงต้องใช้เวลาเดินทาง 4 ชั่วโมง แต่เมื่อมีสะพานใหม่แห่งนี้ก็จะสามารถเดินทางถึงกันได้ในเวลาเพียง 30 นาทีเท่านั้น
ผู้ที่จะเดินทางข้ามสะพานต้องยื่นขอใบอนุญาตก่อน และรถทุกคันที่ขึ้นใช้สะพานต้องเสียค่าธรรมเนียม สะพานแห่งนี้ไม่ได้เปิดใช้สำหรับรถขนส่งสาธารณะ แต่รถโดยสารแบบเช่าเหมาสามารถวิ่งได้ โดยการยื่นขอใบอนุญาตก่อน ช่องทางจราจรบนสะพานมีไว้สำหรับรถยนต์เท่านั้น ไม่มีเส้นทางรถไฟ เป็นที่คาดหมายในเบื้องต้นว่า แต่ละวันจะมีรถชนิดต่าง ๆ วิ่งบนสะพานราว 9,200 คัน แต่อาจจะไม่มีวันคุ้มทุน เนื่องจากลงทุนไปสูงมาก คือ ราว 20,000 ล้านดอลลาร์ แต่รายได้จากการเก็บค่าธรรมเนียมประมาณการว่าจะเก็บได้ปีละ 86 ล้านดอลลาร์เท่านั้น ซึ่งเพียงค่าบำรุงรักษาสะพานในแต่ละปีก็เท่ากับ 1 ใน 3 ของเงินรายได้ดังกล่าวแล้ว กระนั้นก็ตาม นี่คือ สะพานที่เป็นสัญลักษณ์อย่างยั่งยืนว่า ฮ่องกงกับจีนแผ่นดินใหญ่ได้เชื่อมต่อเป็นหนึ่งเดียวกันทางกายภาพแล้ว
