"บิ๊กแดง"ย้ำใช้ศูนย์ดำรงธรรมฟังปัญหา มุ่งขจัดยาเสพติด-อาวุธสงคราม

22 ต.ค. 2561 | 06:18 น.
"บิ๊กแดง"ใช้กลไกศูนย์ดำรงธรรมบรรเทาความเดือดร้อนให้ปชช. ยัำขจัดยาเสพติด-อาวุธสงคราม

อภิรัตน์2

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (22 ตุลาคม) พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวว่าการประชุมสำนักเลขาธิการ คสช. ซึ่งเป็นการประชุมด้วยระบบทางไกลผ่านดาวเทียม เชื่อมต่อระหว่าง กองบัญชาการกองทัพบก กับ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ภาค 4 ส่วนหน้า สน.จังหวัดปัตตานี โดยมี พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.)ในฐานะเลขาธิการ คสช.ซึ่งอยู่ระหว่างการปฏิบัติภารกิจในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นประธาน โดยพล.อ.อภิรัชต์ กล่าวย้ำในนโยบายของ หัวหน้า คสช. และรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงในเรื่องยาเสพติดที่ทุกส่วนงานจะต้องเร่งขับเคลื่อนให้เกิดผลเป็นรูปธรรม

ทั้งนี้ เลขาธิการ คสช. เคยได้ประกาศเจตนารมณ์ไว้แล้วในการขจัดยาเสพติดและอาวุธสงคราม

สำหรับการประชุมในวันนี้ได้สั่งการให้หน่วยงานด้านความมั่นคงทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ ฝ่ายปกครอง กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย และกองทัพภาค ร่วมกันใช้มาตรการสกัดกั้นอย่างเข้มข้น ปิดทุกช่องทางในพื้นที่ชายแดน ป้องกันมิให้ยาเสพติดจากภายนอกเข้าสู่ประเทศไทยในทุกช่องทาง รวมถึงการตรวจสอบอาวุธสงครามควบคู่กันไปด้วย สำหรับมาตรการที่ทุกพื้นที่จะต้องเร่งดำเนินการ คือ การจัดตั้งด่านตรวจที่เข้มแข็ง เพิ่มการลาดตระเวนในพื้นที่ชายแดน การตั้งจุดสกัดเป็นการเฉพาะในพื้นที่เฝ้าระวัง พร้อมรายงานผลการปฏิบัติในเรื่องนี้เป็นการเฉพาะเพื่อนำไปสู่ประเมินสถานการณ์ต่อไป

พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ กล่าวว่า เลขาธิการ คสช. ได้แสดงความห่วงใยการช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนด้วยกลไกของศูนย์ดำรงธรรมโดยมุ่งหวังให้การทำงานเป็นไปในลักษณะ “การเดินเข้าหาประชาชน” เพื่อรับฟังความเดือดร้อนและนำไปสู่การแก้ไขด้วยกลไกแบบบูรณาการ พร้อมมอบหมายให้ กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ (จนท.ตร.) ฝ่ายปกครอง และจิตอาสา ร่วมกันทำงานในลักษณะ“ศูนย์ดำรงธรรมเคลื่อนที่” เข้าไปรับฟังคลี่คลายและแก้ไขปัญหาของประชาชนโดยให้กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (กกล.รส.) เป็นแกนกลางในการจัดทำแผนงานในการลงพื้นที่ร่วมกันของหน่วยงานดังกล่าวให้มีความต่อเนื่องเพื่อให้ประชาชนมีความมั่นใจและมีช่องทางที่จะได้ระบายความเดือดร้อนให้หน่วยงานภาครัฐเข้าช่วยดูแลแก้ไขโดยเร่งด่วนต่อไป

e-book-1-503x62