รุกตลาดเฮลธ์แคร์ ‘พริ้นซิเพิลฯ’ตั้งเป้ารายได้3.5หมื่นล.ใน5ปี
พริ้นซิเพิล เฮลท์แคร์ ตั้งเป้า 5 ปีมีรายได้กว่า 3.5 หมื่นล้านบาท พร้อมขยายโรงพยาบาล 20 แห่งทั่วประเทศ วางงบลงทุนรีโนเวตต่อเตียง 4 ล้านบาท ชูกลยุทธ์สานพันธมิตรโรงพยาบาลทั่วประเทศที่มีการเติบโตน้อยและอยากพัฒนาให้ทันสมัย
นายสาธิต วิทยากร ประธานคณะกรรมการ บริษัท พริ้นซิเพิล เฮลท์แคร์ จำกัด ผู้บริหารโรงพยาบาลเอกชน อาทิ โรงพยาบาลพริ้นซ์ สุวรรณภูมิ, โรงพยาบาลพิษณุเวช, โรงพยาบาลสหเวช ฯลฯ เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า จากเทรนด์ธุรกิจเฮลธ์แคร์ที่กำลังเติบโต ทำให้บริษัทเชื่อว่าธุรกิจนี้กำลังอยู่ในกระแสโลก โดยบริษัทตั้งเป้าหมายที่จะมีรายได้ 3.5 หมื่นล้านบาทภายในปี 2566 จากปัจจุบันรายได้ 1.6 หมื่นล้านบาท พร้อมทั้งขยายธุรกิจโรงพยาบาลครบ 20 แห่งทั่วประเทศ หรือเฉลี่ยขยาย 3-4 แห่งต่อปี ซึ่งรูปแบบการขยายธุรกิจนี้จะเป็นการร่วมมือกับพันธมิตรต่างๆเพื่อร่วมถือหุ้นและรีโนเวตโรงพยาบาลร่วมกัน ขณะที่งบประมาณการลงทุนอยู่ที่ 4 ล้านบาทต่อเตียง และจำนวนการรีโนเวตไม่เกิน 60 ห้องต่อโรงพยาบาล
[caption id="attachment_335046" align="aligncenter" width="335"]
สาธิต วิทยากร[/caption]
อีกทั้งบริษัทได้ให้ความสำคัญกับเรื่องของเทคโนโลยีเพื่อมาประยุกต์ใช้กับธุรกิจโรงพยาบาล โดยโรงพยาบาลที่บริษัทเข้าไปร่วมลงทุน จะใช้ข้อมูลหรือแพลตฟอร์มตัวเดียวกันทั้งหมดทุกเครือ ตั้งแต่ระบบการต้อนรับคนไข้ ประวัติคนไข้ บัญชี การเงิน เป็นต้น ข้อมูลทุกอย่างจะอยู่บนระบบคลาวด์ทั้งหมด ซึ่งการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยลดกระบวนการขั้นตอนความยุ่งยาก เช่น การจัดซื้อ หรือการยืมยา ปัจจุบันโรงพยาบาลหนึ่งมีต้นทุนจัดซื้อยากว่า 30 ล้านบาท ซึ่งการลดต้นทุนที่ดีสุดคือต้องรีบใช้ยาก่อนหมดอายุ แต่เมื่อมีข้อมูลระบบไอทีเข้ามาช่วยให้ยืมยาระหว่างโรงพยาบาลในเครือด้วยกันได้ ซึ่งทำให้ลดต้นทุนจำนวนมาก
ทั้งนี้บริษัทมีโมเดลธุรกิจที่เป็นมาตรฐานโดยการหาพันธมิตรโรงพยาบาลที่มีการเติบโตน้อย และมีต้นทุนค่าใช้จ่ายสูง อาคารเก่า แพทย์น้อย เครื่องมือน้อย เป็นต้น เพื่อลงทุนร่วมกันในการปรับปรุงและพัฒนาอาคารเก่าสู่โรงพยาบาลที่ทันสมัย พร้อมเพิ่มระบบเทคโนโลยีและสร้างทีมงานในองค์กรให้มีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังมุ่งเน้นในเรื่องของแพทย์ที่มีคุณภาพและเครื่องมือแพทย์
“บริษัทมองว่าผู้บริโภคยุคใหม่เน้นทำงานมากขึ้นส่งผลให้มีคนเจ็บป่วยเพิ่ม รวมถึงเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ จึงเป็นสาเหตุส่งผลให้ภาพรวมของอุตสาหกรรมธุรกิจ Health Care เติบโต โดยปัจจุบันมีมูลค่ากว่า 4 แสนล้านบาท หรือมีการเติบโต 3-4% สำหรับประเทศไทยขณะที่กลุ่มประเทศอเมริกา มีอัตราการเติบโตกว่า 6-7% ขณะเดียวกันบริษัทมองว่าในอนาคตธุรกิจเฮลธ์แคร์จะแข่งขันสูงขึ้นในอนาคต และภายใน 10 ปีต่อจากนี้ตลาดจะขยายเท่าตัวหรือมีมูลค่าเพิ่มกว่า 8 แสนล้านบาท”
ขณะเดียวกันบริษัทมีแผนขยายโรงพยาบาลแต่ละแห่งให้สามารถรองรับและบริการผู้ป่วยได้มากขึ้น โดยจะแล้วเสร็จภายใน 1-2 ปี โดยโรงพยาบาลที่กำลังก่อสร้าง และคาดว่าจะเปิดดำเนินการได้ในไตรมาสแรกของปี 2562 อีก 2 แห่งคือ โรงพยาบาลพิษณุเวช อุตรดิตถ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ และโรงพยาบาลพริ้นซ์ อุทัยธานี จังหวัดอุทัยธานี นอกจากนี้ใน 3 ปี ข้างหน้าบริษัทวางแผนก้าวสู่การเป็นที่ปรึกษาธุรกิจโรงพยาบาล พร้อมทั้งเตรียมพัฒนาเทคโนโลยีด้าน Big Data for Healthcare เพื่อเข้าถึงข้อมูลคนไข้ให้ไว ทั่วถึงมากที่สุดพร้อมทั้งวางแผนทำงานร่วมกับภาครัฐ
หน้า 35 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ | ฉบับ 3,411 ระหว่างวันที่ 21-24 ตุลาคม 2561
นายสาธิต วิทยากร ประธานคณะกรรมการ บริษัท พริ้นซิเพิล เฮลท์แคร์ จำกัด ผู้บริหารโรงพยาบาลเอกชน อาทิ โรงพยาบาลพริ้นซ์ สุวรรณภูมิ, โรงพยาบาลพิษณุเวช, โรงพยาบาลสหเวช ฯลฯ เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า จากเทรนด์ธุรกิจเฮลธ์แคร์ที่กำลังเติบโต ทำให้บริษัทเชื่อว่าธุรกิจนี้กำลังอยู่ในกระแสโลก โดยบริษัทตั้งเป้าหมายที่จะมีรายได้ 3.5 หมื่นล้านบาทภายในปี 2566 จากปัจจุบันรายได้ 1.6 หมื่นล้านบาท พร้อมทั้งขยายธุรกิจโรงพยาบาลครบ 20 แห่งทั่วประเทศ หรือเฉลี่ยขยาย 3-4 แห่งต่อปี ซึ่งรูปแบบการขยายธุรกิจนี้จะเป็นการร่วมมือกับพันธมิตรต่างๆเพื่อร่วมถือหุ้นและรีโนเวตโรงพยาบาลร่วมกัน ขณะที่งบประมาณการลงทุนอยู่ที่ 4 ล้านบาทต่อเตียง และจำนวนการรีโนเวตไม่เกิน 60 ห้องต่อโรงพยาบาล
[caption id="attachment_335046" align="aligncenter" width="335"]
อีกทั้งบริษัทได้ให้ความสำคัญกับเรื่องของเทคโนโลยีเพื่อมาประยุกต์ใช้กับธุรกิจโรงพยาบาล โดยโรงพยาบาลที่บริษัทเข้าไปร่วมลงทุน จะใช้ข้อมูลหรือแพลตฟอร์มตัวเดียวกันทั้งหมดทุกเครือ ตั้งแต่ระบบการต้อนรับคนไข้ ประวัติคนไข้ บัญชี การเงิน เป็นต้น ข้อมูลทุกอย่างจะอยู่บนระบบคลาวด์ทั้งหมด ซึ่งการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยลดกระบวนการขั้นตอนความยุ่งยาก เช่น การจัดซื้อ หรือการยืมยา ปัจจุบันโรงพยาบาลหนึ่งมีต้นทุนจัดซื้อยากว่า 30 ล้านบาท ซึ่งการลดต้นทุนที่ดีสุดคือต้องรีบใช้ยาก่อนหมดอายุ แต่เมื่อมีข้อมูลระบบไอทีเข้ามาช่วยให้ยืมยาระหว่างโรงพยาบาลในเครือด้วยกันได้ ซึ่งทำให้ลดต้นทุนจำนวนมาก
ทั้งนี้บริษัทมีโมเดลธุรกิจที่เป็นมาตรฐานโดยการหาพันธมิตรโรงพยาบาลที่มีการเติบโตน้อย และมีต้นทุนค่าใช้จ่ายสูง อาคารเก่า แพทย์น้อย เครื่องมือน้อย เป็นต้น เพื่อลงทุนร่วมกันในการปรับปรุงและพัฒนาอาคารเก่าสู่โรงพยาบาลที่ทันสมัย พร้อมเพิ่มระบบเทคโนโลยีและสร้างทีมงานในองค์กรให้มีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังมุ่งเน้นในเรื่องของแพทย์ที่มีคุณภาพและเครื่องมือแพทย์
“บริษัทมองว่าผู้บริโภคยุคใหม่เน้นทำงานมากขึ้นส่งผลให้มีคนเจ็บป่วยเพิ่ม รวมถึงเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ จึงเป็นสาเหตุส่งผลให้ภาพรวมของอุตสาหกรรมธุรกิจ Health Care เติบโต โดยปัจจุบันมีมูลค่ากว่า 4 แสนล้านบาท หรือมีการเติบโต 3-4% สำหรับประเทศไทยขณะที่กลุ่มประเทศอเมริกา มีอัตราการเติบโตกว่า 6-7% ขณะเดียวกันบริษัทมองว่าในอนาคตธุรกิจเฮลธ์แคร์จะแข่งขันสูงขึ้นในอนาคต และภายใน 10 ปีต่อจากนี้ตลาดจะขยายเท่าตัวหรือมีมูลค่าเพิ่มกว่า 8 แสนล้านบาท”
ขณะเดียวกันบริษัทมีแผนขยายโรงพยาบาลแต่ละแห่งให้สามารถรองรับและบริการผู้ป่วยได้มากขึ้น โดยจะแล้วเสร็จภายใน 1-2 ปี โดยโรงพยาบาลที่กำลังก่อสร้าง และคาดว่าจะเปิดดำเนินการได้ในไตรมาสแรกของปี 2562 อีก 2 แห่งคือ โรงพยาบาลพิษณุเวช อุตรดิตถ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ และโรงพยาบาลพริ้นซ์ อุทัยธานี จังหวัดอุทัยธานี นอกจากนี้ใน 3 ปี ข้างหน้าบริษัทวางแผนก้าวสู่การเป็นที่ปรึกษาธุรกิจโรงพยาบาล พร้อมทั้งเตรียมพัฒนาเทคโนโลยีด้าน Big Data for Healthcare เพื่อเข้าถึงข้อมูลคนไข้ให้ไว ทั่วถึงมากที่สุดพร้อมทั้งวางแผนทำงานร่วมกับภาครัฐ
หน้า 35 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ | ฉบับ 3,411 ระหว่างวันที่ 21-24 ตุลาคม 2561
