JMART และ JVC ประกาศระบบ DDLP พัฒนาได้ตามแผนใน White Paper โดยได้ดึงผู้พัฒนาระบบ Blockchain ระดับโลก ทั้ง Microsoft และ r3 LLC ร่วมพัฒนาระบบ Blockchain ในโครงการ DDLP ย้ำเสร็จพร้อมใช้งานตามแผน ต.ค. 2562
นายธนวัฒน์ เลิศวัฒนารักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เวนเจอร์ส จำกัด ผู้พัฒนาซอฟท์แวร์และแอพพลิเคชันทางด้านฟินเทค และลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพ (ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) (JMART)) เปิดเผยว่า โครงการพัฒนาบล็อกเชนในระบบ JFIN Decentralize Digital Platform (DDLP) ได้ดำเนินตามแผนที่ระบุไว้ใน White Paper แล้ว และมั่นใจว่าจะพัฒนาและใช้ได้จริงตามแผนแน่นอนในเดือน ต.ค. 2562
โดยในครั้งนี้ JVC ได้ดึงเอาพันธมิตรในการพัฒนาระบบบล็อกเชนระดับโลก คือ ไมโครซอฟท์ และ r3 LLC ซึ่งเป็นผู้นำระดับโลกในการพัฒนา Distributed Ledger Technology ของบล็อกเชน ทำให้มั่นใจว่า เป็นมาตรฐานของอุตสาหกรรมฟินเทค ที่สถาบันการเงินระดับโลกได้นำมาใช้กันทั่วโลก ทั้งนี้ r3 ถือว่าเป็นผู้พัฒนา open-source distributed ledger platform ซึ่งเป็นการพัฒนาให้กับสถาบันการเงินระดับโลก และสถาบันการเงินชั้นนำในประเทศไทยด้วย
สำหรับ JVC ในช่วงที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้พัฒนาระบบการปล่อยสินเชื่อแบบดิจิทัลไปแล้ว Digital Lending Platform (DLP) ซึ่งจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 17 ต.ค. 2561 นี้ ที่คาซ่า ลาแปง สาขาราชเทวี ซึ่งต้องคอยติดตามต่อไป
กลุ่มเจมาร์ทนับเป็นองค์กรภาคเอกชนที่ให้ความสำคัญและขับเคลื่อนภาคการเงินไทยให้เข้าสู่ยุคดิจิทัล บริษัทฯ เชื่อว่า บล็อกเชนจะมาเปลี่ยนแปลงการทำธุรกรรมในประเทศไทย และภาคธุรกิจที่จะเพิ่มขีดความสามารถขององค์กรด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยและมีความปลอดภัยสูง การจับมือกับ 2 ผู้นำด้านบล็อกเชนในครั้งนี้ จะร่วมกันพัฒนาระบบการโอนเงินของ JFIN DDLP โดยใช้สกุลเงินดิจิทัล ให้แล้วเสร็จตามแผนที่วางไว้
นายธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า การผนวกเทคโนโลยีคลาวด์และบล็อกเชนนั้น คือ การสร้างสรรค์ใหม่ที่ช่วยให้ทุกอย่างอยู่ภายใต้การตรวจสอบ ซึ่งจะสามารถยกระดับกลไกที่รัดกุมทั้งอีโคซิสเต็มส์ นำมาซึ่งโซลูชันที่ทำให้ผู้ให้บริการและผู้รับบริการดำเนินงานได้อย่างถูกต้องตามข้อกำหนดอย่างปลอดภัยและมั่นใจ ผมเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าโซลูชันบล็อกเชนเมื่ออยู่บนไมโครซอฟท์ อาซัวร์ซึ่งเป็นระบบคลาวด์ที่ปลอดภัยและถูกต้องตามข้อกำหนดในระดับโลก จะสามารถลดช่องโหว่ต่าง ๆ ลงได้ ป้องกันไม่ให้ภัยคุกคามทางไซเบอร์เข้าถึงลูกค้า ไม่ให้เกิดการรั่วไหลของข้อมูล ลดการฉ้อโกง และการกระทำผิดทุกประเภทได้อย่างเต็มศักยภาพ เพื่อบรรลุเป้าหมายเดียวกัน คือการสร้างกลไกหลักทางดิจิทัลที่เชื่อถือและไว้ใจได้ให้มาขับเคลื่อนธุรกิจและสังคมอย่างมั่นคงและยั่งยืน