ฐานโซไซตี : วิบากกรรม “พานทองแท้” ลุ้นคุก10 ปี ?

15 ต.ค. 2561 | 11:32 น.
วิบากกรรม S__45285452 “ผมจะไม่ยอมให้น้องสาวผมติดคุกแม้แต่วันเดียว หรือแม้แต่วินาทีเดียว” เป็นคำพูดที่เชื่อว่าเป็นของ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่เปรยออกมา หลัง น้องสาว-ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต้องระเห็จหนีออกนอกประเทศ ก่อนศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จะอ่านคำพิพากษาคดีปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2560 และต้องเลื่อนอ่านคำพิพากษาเป็นวันที่ 27 กันยายน 2560 ซึ่งศาลตัดสินสั่งจำคุก ยิ่งลักษณ์ เป็นเวลา 5 ปี โดยไม่รอลงอาญา

เมื่ออัยการนำตัวส่งศาล สั่งฟ้อง “โอ๊ค-พานทองแท้ ชินวัตร” ในคดีฟอกเงิน 10 ล้านบาท จากการปล่อยกู้ของธนาคารกรุงไทย เลยทำให้คิดเลยเถิดไปว่า ต่อไปอาจจะมีประโยค “ผมจะไม่ยอมให้ลูก(ชาย) ติดคุก แม้แต่วินาทีเดียว” ขึ้นมาก็ได้ ซึ่งการจะเป็นจริงเช่นนั้นได้ ก็หมายความว่า “โอ๊ค-พานทองแท้” จะต้องหลบหนีออกนอกประเทศ ไม่อยู่ฟังคำพิพากษาของศาล และศาลมีคำพิพากษาจำคุกในคดีนี้
S__45285465 สำหรับคดี “ฐานร่วมกันฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงิน” จากการปล่อยกู้ของธนาคารกรุงไทย กับเครือกฤษดามหานคร ที่ “โอ๊ค-พานทองแท้” ตกเป็นผู้ต้องหานี้ อยู่ในมือของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง โดยศาลได้อนุญาตให้ประกันตัว พานทองแท้ โดยตีราคาประกัน 1 ล้านบาท พร้อมกำหนดเงื่อนไขห้ามออกนอกประเทศ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล และศาลนัดสอบคำให้การ พานทองแท้ ว่าจะรับสารภาพหรือปฏิเสธ ในวันที่ 5 พฤศจิกายนนี้ โดยความผิดฐานฟอกเงินมีโทษจำคุกระหว่าง 1-10 ปี ...ว่ากันว่า กรณีของ “โอ๊ค-พานทองแท้” หลักฐานเช็คการโอนเงินเข้าบัญชี ถือเป็น “หมัดเด็ด” ของคดีนี้

เกี่ยวกับคดีปล่อยกู้ของธนาคารกรุงไทย ก่อนหน้านี้ศาลเคยตัดสินจำคุกอดีตผู้บริหารธนาคารกรุงไทย และกฤษดามหานครมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็น ร.ท.สุชาย เชาว์วิศิษฐ, วิโรจน์ นวลแข, วิชัย-รัชฎา กฤษดาธานนท์ ดังนั้น “คดีฟอกเงิน” จึงเป็น “ผี” ที่จะตามหลอกหลอน “โอ๊ค-พานทองแท้” นับแต่นี้ไปจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาออกมา... ชะตากรรมของ “โอ๊ค-พานทองแท้” จะซํ้ารอย “ทักษิณ” ผู้เป็นพ่อ และ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ผู้เป็นอาหรือไม่ “ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง” เท่านั้น ที่จะเป็นผู้ให้คำตอบ ไม่ว่าผู้ตกเป็นจำเลย จะพยายามสร้างกระแสว่าเป็นเรื่อง “ถูกกลั่นแกล้งทางการเมือง” ก็ตาม
S__45285445 ว่าด้วยเรื่องของ “ลูก” แล้ว ก็ขอไปต่อที่เรื่องของ “พ่อ” ก็แล้วกัน จะเรื่องอะไรเสียอีก ก็เรื่องของ “พรรคเพื่อไทย” นี่แหละ อยู่ดีไม่ว่าดี ไปสร้างเงื่อนไขให้เกิดประเด็นที่จะนำไปสู่การ “ยุบพรรค” เสียอีก เพราะคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ได้สั่งให้มีการสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริงกรณี อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย บินไปพบ นายใหญ่-ทักษิณ ชินวัตร ที่ฮ่องกงแล้ว ว่าเข้าข่ายผิดพ.ร.บ.พรรคการเมืองหรือไม่ กรณีการให้คนที่ไม่ใช่สมาชิกพรรคครอบงำหรือชี้นำกิจกรรมของพรรค ซึ่งหากตรวจสอบพบว่าพรรคเพื่อไทยยินยอมให้มีการครอบงำ ต้องถูกยุบพรรคทันที

ตามมาตรา 28 ของพ.ร.บ.พรรคการเมือง ระบุว่า ห้ามมิให้พรรคการเมืองยินยอมหรือกระทําการใดอันทําให้บุคคลอื่นซึ่งมิใช่สมาชิกกระทําการอันเป็นการควบคุม ครอบงํา หรือชี้นํา กิจกรรมของพรรคการเมืองในลักษณะที่ทําให้พรรคการเมืองหรือสมาชิกขาดความอิสระ ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม และ มาตรา 29 ระบุว่า ห้ามมิให้ผู้ใดซึ่งมิใช่สมาชิกกระทําการใดอันเป็นการควบคุม ครอบงํา หรือชี้นํากิจกรรมของพรรคการเมืองในลักษณะที่ทําให้พรรคการเมืองหรือสมาชิกขาดความอิสระ ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม

รู้ทั้งรู้ว่ากฎหมายมีข้อห้ามเรื่องนี้อยู่ แต่ก็ยัง “ท้าทาย” ไม่สนใจไยดี พอเขาสรุปว่า “เป็นความผิด” ก็จะออกมาตีโพยตีพายว่า ถูกกลั่นแกล้งทางการเมืองบ้างล่ะ 2 มาตรฐานบ้างล่ะ ไม่ได้รับความเป็นธรรมบางล่ะ แล้วทำไมไม่หันมองตัวเองบ้างละว่าเป็นเพราะอะไร ถึงเกิดเหตุดังกล่าวขึ้น พับผ่าสิ...

|คอลัมน์ : ฐานโซไซตี
|โดย : ว.เชิงดอย
|หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3409 หน้า 4 ระหว่างวันที่ 14-17 ต.ค.2561
595959859