"แคปปิตอล วัน" ลั่น! 3 ปี ผู้นำเอเชีย พอร์ตขายกว่า 2 หมื่นล้าน

15 ต.ค. 2561 | 10:13 น.
"แคปปิตอล วัน" ผนึกโบรกฯมะกัน รุกบริหารคอนโดฯลักชัวรี่ในไทย ประกาศเดินหน้าขยายธุรกิจให้ครอบคลุมภูมิภาคเอเชีย ลั่น! ไม่เกิน 3 ปีจากนี้ พอร์ตการขายสู่ระดับ 20,000 ล้านบาท และไม่เกิน 5 ปี ก้าวสู่เวทีระดับนานาชาติ ให้บริการทั้งในสหรัฐฯ และยุโรป ประกาศเตรียมผนึกยักษ์ใหญ่โบรกเกอร์มะกัน รุกตลาดบริหารคอนโดฯระดับลักชัวรี่ในไทย โชว์ยอดขาย 3,000 ล้านบาท วิเคราะห์ที่ดินโซนสุขุมวิทแพงเว่อร์ ราคาตลาดใช้ไม่ได้ เหตุผู้ขายที่ดินมีจำกัด ห่วงซัพพลายคอนโดฯ ในโซนสุขุมวิทเกินดีมานด์ โครงการชานเมืองทำตลาดยาก ไลฟ์สไตล์ลูกค้ามองโครงการแนวราบ เช่น ทาวน์เฮาส์

นายวิทย์ กุลธนวิภาส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) บริษัท แคปปิตอล วัน เรียลเอสเตท จำกัด (CAPITAL ONE Real Estate) บริษัทที่ปรึกษาทางด้านอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำในเมืองไทย และเป็นผู้เชี่ยวชาญในการบริหารตลาดคอนโดมิเนียมในโซนสุขุมวิท เปิดเผยถึงวิสัยทัศน์ในการขยายธุรกิจเอเยนต์ ว่า ได้กำหนดแผนออกเป็นระยะ 3 ปีแรก จะเป็นผู้นำในด้านยอดขายครอบคลุมภูมิภาคเอเชียให้มีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านบาท และภายใน 5 ปี จะให้ก้าวไปสู่ระดับนานาชาติ ที่ให้บริการไปถึงตลาดในสหรัฐอเมริการและในกลุ่มประเทศยุโรป โดยก้าวสำคัญของการผลักดันธุรกิจในไทย ทางบริษัทจะเปิดตัวพันธมิตรทางธุรกิจจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นบริษัทที่เชี่ยวชาญในธุรกิจเอเยนต์มานาน จัดตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมา เพื่อร่วมกันขยายโอกาสการให้บริการกับโครงการคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่ คาดว่าภายในปี 2562 จะสามารถประกาศความร่วมดังกล่าวได้


นายวิทย์ กุลธนวิภาส

จากประสบการณ์กว่า 10 ปี มองว่าเรียลเอสเตทเอเยนต์ในไทยน่าสนใจ แรก ๆ เข้ามาบริหารโครงการคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ที่ซอยอารี และต่อเนื่องมาอีกหลายโครงการ รวมถึงโครงการแนวสูงที่ จ.ศรีราชา จนมาเจอวิกฤตการเมือง เจออีกจนชิน และปรับตัวได้ ทำให้รู้ว่าต้องรู้จักเตรียมพร้อมรองรับธุรกิจ และคิดว่าตอนนี้คนไทยชินกับวิกฤตการเมือง แต่สิ่งที่น่ากังวล คือ เรื่องอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในช่วงขาขึ้น จะตัดกำลังซื้อของลูกค้า ทำให้ชะลอตลาดลงด้วย

แผนปี 2561 บริษัทจะไม่เน้นเพิ่มปริมาณการบริหารโครงการ แต่จะให้ความสำคัญกับการขายมากกว่า พอร์ตที่รับผิดชอบมีประมาณ 14 โครงการ มูลค่าการขาย 8,000-9,000 ล้านบาท ราคาที่ทำตลาด 3-12 ล้านบาท ราคาเฉลี่ยของสินค้า 3-8 ล้านบาท สัดส่วน 80% จะเป็นโครงการในโซนสุขุมวิท ฐานลูกค้าระดับ B ถึง A ผลงานในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-ก.ย. 2561) สามารถสร้างยอดขายมูลค่า 3,000 ล้านบาท แบ่งเป็น ลูกค้าคนไทยประมาณ 2,000 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทมีฐานลูกค้า 30,000-40,000 ราย และยอดขายอีก 1,000 ล้านบาท เป็นลูกค้าต่างประเทศ มีทั้งมาจากประเทศจีน ฮ่องกง และสิงคโปร์ โดยมีบริษัทในเครือ ได้แก่ CAPITAL ONE International Co., Ltd ดูแลตลาดต่างประเทศ, บริษัท CAPITAL ONE Hong Kong Lmited-Hong Kong ทำตลาดครอบคลุมลูกค้าชาวจีน มีฐานลูกค้าประมาณ 10,000 ราย และบริษัทยังมีระบบฐานข้อมูล (ดาต้าเบส) ลูกค้าในภูมิภาคเอเชียกว่า 100,000 ราย เป็นต้น

ศักยภาพของแคปปิตอล วัน สามารถรับบริหารต่อโครงการได้มูลค่าไม่เกิน 5,000 ล้านบาท ซึ่งในปีนี้คาดว่าจะมีอัตราเติบโตระดับ 20% แต่จริง ๆ แล้ว ที่ผ่านมาจะมียอดขายเกินมา 50% ทุกปี เนื่องมาจากการที่ลูกค้าบอกต่อ มุ่งมั่นพัฒนาระบบฐานข้อมูล (ดาต้าเบส) อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งจะรักษาและควบคุมไม่ให้บริษัทโตก้าวกระโดด เพื่อจะได้สามารถดูแลลูกค้าให้ทั่วถึง ทำธุรกิจได้ยาว

"ในมุมมองแล้ว ธุรกิจโบรกเกอร์ในปัจจุบันต้องปรับตัวให้มาก เพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ในขณะนี้ อย่าไปคิดเก็บกินบุญเก่า แต่เราต้องมีในเรื่องของยุทธศาสตร์ในการทำธุรกิจ มีบริการการขายที่ดี มีพนักงานที่ดี มีฐานะข้อมูลที่ดี และต้องเป็นข้อมูลที่เป็นจริง และสภาพตลาดที่เป็นอยู่ขณะนี้ ผมว่าดี ดีตรงที่คู่แข่งน้อย และมีโอกาสที่จะก้าวสู่การเป็นผู้เชี่ยวชาญ" นายวิทยุ กล่าว


บาร์ไลน์ฐาน

ปัจจุบัน ราคาที่ดินในสุขุมวิทปรับขึ้นเยอะมาก เนื่องจากผู้ขายเป็นควบคุมราคา และการจะเฉลี่ยราคาในแต่ละโซน คงไม่ได้ เพราะเจ้าของที่ดินมีจำกัด ซึ่งผลจากต้นทุนของที่ดินที่สูงอย่างมาก ส่งผลให้เกิดการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม เปิดราคาขายต่อตารางเมตร (ตร.ม.) ในกลุ่มตลาดที่สูง 2.5 แสนบาทขึ้นไป จำนวนผู้ซื้อจำกัด เป็นกลุ่มที่เฉพาะมาก ซึ่งจะเห็นได้ว่า ในซอยทองหล่อจะมีโครงการทำตลาดระดับราคาดังกล่าวเป็นจำนวนมาก ซึ่งหากเกิดปัญหาก็ไม่กระทบหรือทำร้ายตลาดมาก เนื่องจากขนาดของกลุ่มโครงการที่ออกมาไม่มาก เมื่อเทียบกับโครงการที่ทำสินค้าระดับลักชัวรี ราคา 3.5 แสนบาทต่อ ตร.ม. ตรงนี้น่าเป็นห่วง ภาพที่ชัดเจนจะเห็นในปี 2562

ตลาดคอนโดมิเนียมมีพัฒนาการไปสู่รอบนอกชานเมืองมากขึ้น ตามการขยายตัวของเมือง แต่กลับพบว่า โครงการที่มีราคาต่ำกว่า 2 ล้านบาทต่อยูนิต ออกมาค่อนข้างมาก อย่างเช่น โซนสุขุมวิทตอนปลายไปถึงสมุทรปราการ หรือ โซนรังสิต เริ่มมีสัญญาณสินค้าเกินความต้องการ จากข้อมูลพบว่า ในครึ่งปีแรก หน่วยที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนในกรุงเทพฯ และปริมณฑล อาคารชุดกว่า 31,000 หน่วย คาดทั้งปี 60,000 หน่วย ขณะที่ ตัวเลขค่าธรรเนียมจดนิติกรรมของกรมที่ดินในปีนี้ คาดว่าจะใกล้เคียงกับปีงบประมาณที่ผ่านมา ต่างกับปี 2559-2560 การจัดเก็บเพิ่มขึ้น 20% นั่น อาจจะแสดงให้เห็นถึงสภาพตลาดได้ว่า ตอนนี้ซัพพลายคอนโดมิเนียมเยอะ แต่ดีมานด์ลดลง ดังนั้น การวัดจากโครงการเปิดใหม่ยาก ต้องวัดจากสร้างเสร็จจดทะเบียน และอีกอย่าง คอนโดฯ ต่ำกว่า 2 ล้านบาท มีคู่แข่งจากโครงการแนวราบ เนื่องจากไลฟ์สไตล์คนอยู่ชานเมือง อยากอยู่แนวราบ ทาวน์เฮาส์ ทั้งนี้ หากซัพพลายเยอะ เพราะราคาเพิ่มขึ้น ตามหลักเศรษฐกิจ ตัวดีมานด์ต้องเติบโต แต่ตอนนี้นิ่ง ผลก็คือ มาจากราคาที่แพงเว่อร์ คนไทยซื้อไม่ได้ ลูกค้าต่างชาติ จึงเป็นตลาดที่ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ให้น้ำหนักในการเข้าไปเจาะกลุ่มลูกค้า

นายวิทย์ กล่าวต่อว่า แคปปิตอล วัน เตรียมขยายไลน์การบริการไปยังโครงการแนวราบ เพื่อเป็นขยายฐานลูกค้าให้กว้างมากขึ้น จากการเปิดโครงการของผู้ประกอบการจำนวนมาก ทั้งสินค้าประเภททาวน์เฮาส์ ทาวน์โฮม โฮมออฟฟิศ โดยจะเข้าไปบริหารจับกลุ่มลูกค้าเกรด A ราคา 5-20 ล้านบาท ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตและมีกำลังซื้อที่สูง


วิเคระห์ตลาดอสังหาฯ แค่สินค้าล้นตลาดในบางทำเล!
นายวิทย์ กล่าวว่า การที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมาตรการการดูแลสินเชื่อที่อยู่อาศัยนั้น จริง ๆ แล้ว สถานการณ์ในปัจจุบันไม่ใช่อสังหาริมทรัพย์เกิดฟองสบู่เหมือนเช่นปี 2540 ที่ระยะนั้นธนาคารพาณิชย์แข่งขันปล่อยสินเชื่อ มีการปั่นราคาอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก และเมื่อเกิดการลอยตัวของค่าเงินบาท ทำให้ฟองสบู่แตก ภาคอสังหาริมทรัพย์ได้รับผลกระทบรุกลามไปถึงภาคสถาบันการเงิน แต่ในปัจจุบัน สถาบันการเงินมีความเข้มงวดในการดูแลสินเชื่อที่อยู่อาศัย ประกอบกับผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ก็ดูแลลูกค้าและตรวจสอบลูกค้า เพื่อมิให้เกิดผลในเรื่องของยอดขายที่จะตามมา

"ผมว่า ปัจจุบันอสังหาฯ มีปัญหาเรื่องโอเวอร์ซัพพลาย แต่ไม่ใช่ทุกทำเล เป็นแค่บางทำเล บางโปรดักส์ การที่ ธปท. เบรกก็ดี เพราะที่สหรัฐฯ ภาคอสังหาฯ เริ่มมีปัญหา เริ่มเห็นการเกิดฟองสบู่ ราคาสินทรัพย์ในสหรัฐฯ เพิ่มมา 4 เท่า และการที่ ธปท. ออกมา ก็คงเป็นเรื่องที่หวังดี และในมุมแล้ว มาตรการเรื่อง LTV ไม่น่าจะกระทบมากเท่าเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ตรงนี้จะตัดกำลังซื้อ และจะยิ่งทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ชะลอลงด้วย"

e-book-1-503x62-7-1-503x62