รับสร้างบ้านไตรมาส3ซึมหวังสัญญาณเลือกตั้งปลุกตลาดโตตามเป้า

18 ต.ค. 2561 | 03:10 น.
สมาคมรับสร้างบ้าน รับกำลังซื้อไตรมาส 3 ซึม หลังเจอพิษภัยธรรมชาติช่วงหน้าฝน ลุ้น!แนวโน้มช่วงสุดท้ายของปีตลาดฟื้น เป็นไปตามเป้าทั้งปี แตะ 1.4-1.5 หมื่นล้าน  หลังรัฐบาลปลดล็อกทางการเมือง ส่งสัญญาณเลือกตั้งต้นปี 62

นายสิทธิพร สุวรรณสุต นายกสมาคมไทยรับสร้างบ้าน เปิดเผยถึงสถานการณ์ตลาดรับสร้างบ้านในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมา ว่าตัวเลขยังคงทรงตัว ใกล้เคียงกับช่วงไตรมาสที่ผ่านมา เนื่องจากกำลังซื้อได้รับผลกระทบจากด้านการเมืองและภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นในช่วงฤดูฝน หลายพื้นที่เกิดพายุ จนทำให้เกิดปัญหานํ้าท่วมขังและมีดินโคลนถล่ม โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมถึงภาคใต้บางส่วน ปัจจัยดังกล่าวทำให้ผู้บริโภครอดูสถานการณ์และชะลอการปลูกสร้างบ้านเอาไว้ก่อน โดยเฉพาะในช่วงเดือน กรกฎาคม-สิงหาคม ที่กำลังซื้อชะลอตัวอย่างเห็นได้ชัด  ประกอบกับบางส่วนมีความลังเล ขอรอดูสถานการณ์ทางด้านเศรษฐกิจและการเมือง ทำให้ภาพรวม  ช่วง 9 เดือนแรกของปี 2561 แชร์ส่วนแบ่งทั้งตลาดยังตํ่ากว่าเป้าที่ประมาณการไว้ ทั้งปี 1.4-1.5 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าในช่วงไตรมาสสุดท้าย กำลังซื้อจะเริ่มกลับมาดีขึ้น หากทิศทางด้านเศรษฐกิจประเทศปรับตัวได้ดี และจากรัฐบาล คสช. ที่ส่งสัญญาณว่าจะมีการเลือกตั้งในช่วงต้นปี 2562 ซึ่งส่งผลให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและประชาชน ที่มีต่อทิศทางเศรษฐกิจและการเมืองกลับมาดีขึ้นอีกครั้ง และจะทำให้กล้าจับจ่ายใช้สอยและลงทุนเรื่องบ้านหรือที่อยู่อาศัยมากขึ้น

P30-1

“แม้สถานการณ์ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา จะไม่เติบโตตามที่คาดไว้  แต่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังเชื่อมั่นว่า ความต้องการสร้างบ้าน และกำลังซื้อผู้บริโภคจะเติบโตในช่วงไตรมาสสุดท้าย จากความชัดเจนทางการเมืองหลังรัฐบาลประกาศให้มีการเลือกตั้งในช่วงต้นปีหน้า, การขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจของประเทศ ที่หุ้นเริ่มมีสัญญาณบวก, รัฐบาลอัดฉีดเม็ดเงินลงทุนในโครงการต่างๆ  ขณะที่ผู้ประกอบการ เร่งจัดแคมเปญกระตุ้นตลาดในช่วงไตรมาสสุดท้าย ซึ่งคาดว่าน่าจะทำให้ตลาดรับสร้างบ้านกลับมาคึกคักอีกครั้ง”

นายสิทธิพร ยังระบุว่า  ภาพรวมการแข่งขันของธุรกิจรับสร้างบ้านในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมานั้น พบผู้ประกอบการทั้งรายเล็ก รายกลาง และรายใหญ่มีการแข่งขันกันรุนแรงพอสมควร โดยเฉพาะตลาดรับสร้างบ้านในพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑลและหัวเมืองเศรษฐกิจ ทั้งกลุ่มราคาตํ่ากว่า 2 ล้านบาท, กลุ่มราคาบ้าน 2-5 ล้านบาท, กลุ่มตลาดราคาบ้าน 5-10 ล้านบาท และโดยเฉพาะกลุ่มตลาดราคาบ้าน 10 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งมีการแข่งขันที่รุนแรง เนื่องจากมีผู้ประกอบการรับสร้างบ้านที่มีชื่อเสียง
รายกลาง รายใหญ่ และรายที่มีประสบการณ์ ต่างเข้ามาแข่งขันชิงแชร์ตลาดกันจำนวนมาก สวนทางกับปริมาณหรือจำนวนหน่วยที่มีอยู่จำกัดเพราะกลุ่มนี้ถือว่าเป็นนิชมาร์เก็ตแต่เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อและราคาต่อหน่วยสูง

ทั้งนี้สมาคมประเมินมูลค่ารวมตลาด “บ้านสร้างเอง” ทั่วประเทศในปี 2561 มีมูลค่าประมาณ 1.4-1.5 แสนล้านบาท โดย “ธุรกิจรับสร้างบ้าน” น่าจะมีแชร์ส่วนแบ่งตลาดประมาณ 1.4-1.5 หมื่นล้านบาท โดยช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา มีส่วนแบ่งแล้ว 70% หรือประมาณ 1 หมื่นล้านบาทเศษ

หน้า 29-30 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ  ปีท่ี่ 38 ฉบับที่ 3,410  วันที่ 18-20 ตุลาคม 2561

595959859