ดอกเบี้ยขึ้น 50 สตางค์เพิ่มภาระผ่อนกว่า 4%
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ดอกเบี้ยขาขึ้น กระทบความสามารถชำระหนี้ครัวเรือน ชี้ดอกเบี้ยขยับ 0.5% ภาระผ่อนต่อเดือนเพิ่มมากกว่า 4% เหตุแบกหนี้ก้อนใหญ่ ต้องชำระคืนปลายปี
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย รายงานแนวโน้มหนี้ครัวเรือนสิ้นปี 2561 คาดว่า จะอยู่ในกรอบ 77.0-78.0% ต่อจีดีพี อย่างไรก็ดี การเพิ่มขึ้นของหนี้ครัวเรือนในปีนี้ ส่วนใหญ่เป็นหนี้ก้อนใหญ่รวมถึงทิศทางดอกเบี้ยที่มีโอกาสขยับขึ้นในระยะข้างอาจมีผลกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือนบางกลุ่ม ทั้งนี้จากการวิเคราะห์พบว่า หากอัตราดอกเบี้ยขยับขึ้น 0.50% อาจทำให้ภาระการผ่อนชำระต่อเดือนเพิ่มขึ้นมากกว่า 4%
เนื่องจากไตรมาส 2 ปี 2561 พบว่า ยอดคงค้างหนี้ครัวเรือน ขยับขึ้นมาที่ระดับ 12.34 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.71 แสนล้านบาท จากไตรมาสแรก หรือเติบโต 5.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
โดยระดับหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น เร่งตัวจากยอดคงค้างสินเชื่อบ้านและสินเชื่อรถยนต์ ซึ่งสะท้อนสภาพการแข่งขันในตลาดสินเชื่อรายย่อย โดยเฉพาะสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ และสินเชื่ออุปโภคบริโภคอื่นๆ ของ 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ ธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงินเฉพาะกิจ และสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ (นอนแบงก์) สวนทางกับสถาบันการเงินประเภทอื่นๆ ที่มีบทบาทลดลง โดยเฉพาะในช่วงครึ่งแรกของปี 61
โดยในส่วนของสินเชื่อบ้านคิดเป็นสัดส่วนถึง 38% ของยอดคงค้างหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นในระหว่างไตรมาส 2 ขณะที่สินเชื่อเช่าซื้อมีสัดส่วนประมาณ 18.6% ของยอดคงค้างหนี้ ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม การเติบโตของหนี้ครัวเรือนที่เกิดขึ้นในครึ่งแรกของปี 61 เกือบ 70% แรงผลักดันมาจากการเติบโตของสินเชื่อรายย่อย เพื่อการอุปดภคบริโภค โดยเฉพาะสินเชื่อบ้านและสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ที่ปล่อยผ่านระบบธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงินพาะกิจของรัฐ ซึ่งเป็นสัดส่วนสูงขึ้นจากสิ้นปี 60 ที่มีสัดส่วนประมาณ 65% นอกจากนี้ สถาบันการเงินอื่น โดยเฉพาะบริษัทบัตรเครดิต ลิสซิ่ง และสินเชื่อส่วนบุคคลเป็นผู้เล่นหลักของนอนแบงก์
ทั้งนี้องค์ประกอบการเติบโตของหนี้ครังเรือนที่มาจากนอนแบงก์ ขยับขึ้นอยู่ที่ 10.3% จากปลายปี 60 อยู่ที่ประมาณ 7.6%
โดยทั้งปี ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพี อาจชะลอลงมาอยู่ในกรอบ 77-78% ต่อจีพีพี จากสิ้นปี 60 อยู่ที่ระดับ 78%
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย รายงานแนวโน้มหนี้ครัวเรือนสิ้นปี 2561 คาดว่า จะอยู่ในกรอบ 77.0-78.0% ต่อจีดีพี อย่างไรก็ดี การเพิ่มขึ้นของหนี้ครัวเรือนในปีนี้ ส่วนใหญ่เป็นหนี้ก้อนใหญ่รวมถึงทิศทางดอกเบี้ยที่มีโอกาสขยับขึ้นในระยะข้างอาจมีผลกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือนบางกลุ่ม ทั้งนี้จากการวิเคราะห์พบว่า หากอัตราดอกเบี้ยขยับขึ้น 0.50% อาจทำให้ภาระการผ่อนชำระต่อเดือนเพิ่มขึ้นมากกว่า 4%
เนื่องจากไตรมาส 2 ปี 2561 พบว่า ยอดคงค้างหนี้ครัวเรือน ขยับขึ้นมาที่ระดับ 12.34 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.71 แสนล้านบาท จากไตรมาสแรก หรือเติบโต 5.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
โดยระดับหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น เร่งตัวจากยอดคงค้างสินเชื่อบ้านและสินเชื่อรถยนต์ ซึ่งสะท้อนสภาพการแข่งขันในตลาดสินเชื่อรายย่อย โดยเฉพาะสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ และสินเชื่ออุปโภคบริโภคอื่นๆ ของ 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ ธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงินเฉพาะกิจ และสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ (นอนแบงก์) สวนทางกับสถาบันการเงินประเภทอื่นๆ ที่มีบทบาทลดลง โดยเฉพาะในช่วงครึ่งแรกของปี 61
โดยในส่วนของสินเชื่อบ้านคิดเป็นสัดส่วนถึง 38% ของยอดคงค้างหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นในระหว่างไตรมาส 2 ขณะที่สินเชื่อเช่าซื้อมีสัดส่วนประมาณ 18.6% ของยอดคงค้างหนี้ ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม การเติบโตของหนี้ครัวเรือนที่เกิดขึ้นในครึ่งแรกของปี 61 เกือบ 70% แรงผลักดันมาจากการเติบโตของสินเชื่อรายย่อย เพื่อการอุปดภคบริโภค โดยเฉพาะสินเชื่อบ้านและสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ที่ปล่อยผ่านระบบธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงินพาะกิจของรัฐ ซึ่งเป็นสัดส่วนสูงขึ้นจากสิ้นปี 60 ที่มีสัดส่วนประมาณ 65% นอกจากนี้ สถาบันการเงินอื่น โดยเฉพาะบริษัทบัตรเครดิต ลิสซิ่ง และสินเชื่อส่วนบุคคลเป็นผู้เล่นหลักของนอนแบงก์
ทั้งนี้องค์ประกอบการเติบโตของหนี้ครังเรือนที่มาจากนอนแบงก์ ขยับขึ้นอยู่ที่ 10.3% จากปลายปี 60 อยู่ที่ประมาณ 7.6%
โดยทั้งปี ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพี อาจชะลอลงมาอยู่ในกรอบ 77-78% ต่อจีพีพี จากสิ้นปี 60 อยู่ที่ระดับ 78%
