'ไอร์แลนด์' รุกตลาดนมเอเชีย! มั่นใจศักยภาพ ชู 'ไทย' แลนด์มาร์กสำคัญ
สหราชอาณาจักรและไอร์แลนด์เหนือ ชี้! ตลาดนมเมืองไทยมีโอกาสขยายตัวเพิ่ม 6.9% ในปี 2563 เร่งเปิดเกมรุกตลาดผลิตภัณฑ์จากนมในไทย ส่ง 5 กลุ่มสินค้าหลัก ทั้งชีส, Milk Powders, บัตเตอร์, ครีม และโยเกิร์ต ปูพรม Food Service ผ่านช่องทางแม็คโคร มั่นใจ 3-5 ปี สร้างการเติบโตในไทยได้กว่า 10%
นายไมค์ จอห์นสตัน ประธาน องค์กรสนับสนุนนมและผลิตภัณฑ์จากนมแห่งประเทศไอร์แลนด์เหนือ (Daily Council Northern Ireland) เปิดเผยว่า องค์กรได้รับนโยบายพร้อมได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากสหภาพยุโรปเพื่อขยายอุตสาหกรรมการส่งออกนมและผลิตภัณฑ์จากนมไปยังหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งเล็งเห็นการเติบโตในกลุ่มประเทศจีน ไต้หวัน อินโดนีเซีย เวียดนาม เกาหลีใต้ มาเลเซีย และไทย และมุ่งเน้นการทำธุรกิจในรูปแบบ Business-to-Business หรือ B2B โดยเฉพาะในประเทศไทยและอินโดนีเซีย (ไม่รวมจีนที่ถือเป็นตลาดใหญ่) ที่ทางองค์กรให้ความสำคัญในการขยายอุตสาหกรรมเข้ามาทำตลาด ผ่านจุดเด่นความเป็นสินค้าคุณภาพ อาหารปลอดภัย ที่ภาครัฐให้การรับรอง
[caption id="attachment_332061" align="aligncenter" width="335"]
ไมค์ จอห์นสตัน[/caption]
"สหราชอาณาจักรตระหนักถึงพันธสัญญาต่อผู้บริโภคในการผลิตนมและผลิตภัณฑ์จากนมให้ได้คุณภาพสูงสุดภายใต้การควบคุมดูแลของสหภาพยุโรป ดังนั้น จึงให้ความสำคัญกับมาตรการตรวจสอบในทุกขั้นตอน อาทิ การลงทะเบียนและเข้ารับการตรวจสอบจากกระทรวงการเกษตรและสิ่งแวดล้อมของฟาร์มโคนมและโรงงานบรรจุ, การตรวจสอบวัตถุดิบที่จะนำมาใช้เป็นอาหารโคนม, การจัดส่งนมสด, กระบวนการแปรรูป และการจัดจำหน่ายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อการันตีคุณภาพและความปลอดภัยตามมาตรฐาน"
ทั้งนี้ กลุ่มสินค้าที่นำเข้ามาทำตลาด ประกอบไปด้วย 5 กลุ่มผลิตภัณฑ์จากนม ได้แก่ ชีส, นมผง (Milk Powders), บัตเตอร์, ครีม และโยเกิร์ต ซึ่งจะเน้นขายผ่านช่องทาง B2B 100% โดยร่วมมือกับ บริษัท สยามฟู้ดส์ เซอร์วิส จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายสินค้าประเภทอาหารสดและอาหารแช่แข็งเป็นเวลากว่า 20 ปี เน้นจำหน่ายผ่านลูกค้ารายใหญ่ ซึ่งเป็นผู้ประกอบกิจการร้านอาหาร, โรงแรม และผู้ผลิตอาหารทั่วประเทศ โดยมองว่า ภายในปี 2563 ตลาดนมในประเทศไทยจะขยายตัวเพิ่มขึ้น 6.9% กลุ่มครีมที่ทำมาจากนมจะขยายตัว 4.3%
ขณะที่ ไทยมีการนำเข้าสินค้าแดรีโปรดักต์กว่า 45% ในปัจจุบัน ทำให้ทางองค์กรเล็งเห็นถึงช่องว่างทางการเติบโตดังกล่าว และให้ความสำคัญกับการขยายตลาดเข้ามาในประเทศไทยมากเป็นพิเศษ ซึ่งนอกจากการเข้ามาเพื่อสร้างการรับรู้ในกลุ่มผลิตภัณฑ์แล้ว องค์กรยังมีการนำคู่ค้าหรือผู้ซื้อไปยังประเทศไอร์แลนด์เหนือ แหล่งผลิต เพื่อเรียนรู้การบริหารจัดการฟาร์ม กระบวนการผลิตนมที่ได้มาตรฐาน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นอีกด้วย
"แน่นอนว่า ไทย คือ อีกหนึ่งประเทศสำคัญ ที่ทางองค์กรให้ความสำคัญในการเข้ามาโปรโมต พร้อมขยายตลาด เนื่องจากมองว่า ไทยถือเป็นประเทศสำคัญที่มีการศักยภาพทางการเติบโต มีสภาพเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งประกอบไปด้วย ปัจจัยหลัก 3 ประการ ได้แก่ มีจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มสูงขึ้นทุกปี, การขยายตัวเข้าสู่สังคมเมืองมากขึ้น และกลุ่มประชาชนมีฐานะดีขึ้น"
อย่างไรก็ตาม ตั้งเป้าการขยายสินค้าเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยภายในปี 2563 ตั้งเป้าอัตราการเติบโตของตลาดผลิตภัณฑ์นมในประเทศไทยขึ้นเป็น 10% จากปัจจุบัน ที่สัดส่วนการเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยน้อยกว่า 5% โดยปัจจุบัน นมและผลิตภัณฑ์จากนมจากสหราชอาณาจักรผลิตและส่งออกไปยัง 80 ประเทศทั่วโลก ซึ่งในแต่ละปี ส่งออกนมและผลิตภัณฑ์จากนมมากกว่าปีละ 1,000 ล้านลิตร
หน้า 35 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ | ฉบับ 3,409 ระหว่างวันที่ 14-17 ตุลาคม 2561
นายไมค์ จอห์นสตัน ประธาน องค์กรสนับสนุนนมและผลิตภัณฑ์จากนมแห่งประเทศไอร์แลนด์เหนือ (Daily Council Northern Ireland) เปิดเผยว่า องค์กรได้รับนโยบายพร้อมได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากสหภาพยุโรปเพื่อขยายอุตสาหกรรมการส่งออกนมและผลิตภัณฑ์จากนมไปยังหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งเล็งเห็นการเติบโตในกลุ่มประเทศจีน ไต้หวัน อินโดนีเซีย เวียดนาม เกาหลีใต้ มาเลเซีย และไทย และมุ่งเน้นการทำธุรกิจในรูปแบบ Business-to-Business หรือ B2B โดยเฉพาะในประเทศไทยและอินโดนีเซีย (ไม่รวมจีนที่ถือเป็นตลาดใหญ่) ที่ทางองค์กรให้ความสำคัญในการขยายอุตสาหกรรมเข้ามาทำตลาด ผ่านจุดเด่นความเป็นสินค้าคุณภาพ อาหารปลอดภัย ที่ภาครัฐให้การรับรอง
[caption id="attachment_332061" align="aligncenter" width="335"]
"สหราชอาณาจักรตระหนักถึงพันธสัญญาต่อผู้บริโภคในการผลิตนมและผลิตภัณฑ์จากนมให้ได้คุณภาพสูงสุดภายใต้การควบคุมดูแลของสหภาพยุโรป ดังนั้น จึงให้ความสำคัญกับมาตรการตรวจสอบในทุกขั้นตอน อาทิ การลงทะเบียนและเข้ารับการตรวจสอบจากกระทรวงการเกษตรและสิ่งแวดล้อมของฟาร์มโคนมและโรงงานบรรจุ, การตรวจสอบวัตถุดิบที่จะนำมาใช้เป็นอาหารโคนม, การจัดส่งนมสด, กระบวนการแปรรูป และการจัดจำหน่ายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อการันตีคุณภาพและความปลอดภัยตามมาตรฐาน"
ทั้งนี้ กลุ่มสินค้าที่นำเข้ามาทำตลาด ประกอบไปด้วย 5 กลุ่มผลิตภัณฑ์จากนม ได้แก่ ชีส, นมผง (Milk Powders), บัตเตอร์, ครีม และโยเกิร์ต ซึ่งจะเน้นขายผ่านช่องทาง B2B 100% โดยร่วมมือกับ บริษัท สยามฟู้ดส์ เซอร์วิส จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายสินค้าประเภทอาหารสดและอาหารแช่แข็งเป็นเวลากว่า 20 ปี เน้นจำหน่ายผ่านลูกค้ารายใหญ่ ซึ่งเป็นผู้ประกอบกิจการร้านอาหาร, โรงแรม และผู้ผลิตอาหารทั่วประเทศ โดยมองว่า ภายในปี 2563 ตลาดนมในประเทศไทยจะขยายตัวเพิ่มขึ้น 6.9% กลุ่มครีมที่ทำมาจากนมจะขยายตัว 4.3%
ขณะที่ ไทยมีการนำเข้าสินค้าแดรีโปรดักต์กว่า 45% ในปัจจุบัน ทำให้ทางองค์กรเล็งเห็นถึงช่องว่างทางการเติบโตดังกล่าว และให้ความสำคัญกับการขยายตลาดเข้ามาในประเทศไทยมากเป็นพิเศษ ซึ่งนอกจากการเข้ามาเพื่อสร้างการรับรู้ในกลุ่มผลิตภัณฑ์แล้ว องค์กรยังมีการนำคู่ค้าหรือผู้ซื้อไปยังประเทศไอร์แลนด์เหนือ แหล่งผลิต เพื่อเรียนรู้การบริหารจัดการฟาร์ม กระบวนการผลิตนมที่ได้มาตรฐาน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นอีกด้วย
"แน่นอนว่า ไทย คือ อีกหนึ่งประเทศสำคัญ ที่ทางองค์กรให้ความสำคัญในการเข้ามาโปรโมต พร้อมขยายตลาด เนื่องจากมองว่า ไทยถือเป็นประเทศสำคัญที่มีการศักยภาพทางการเติบโต มีสภาพเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งประกอบไปด้วย ปัจจัยหลัก 3 ประการ ได้แก่ มีจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มสูงขึ้นทุกปี, การขยายตัวเข้าสู่สังคมเมืองมากขึ้น และกลุ่มประชาชนมีฐานะดีขึ้น"
อย่างไรก็ตาม ตั้งเป้าการขยายสินค้าเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยภายในปี 2563 ตั้งเป้าอัตราการเติบโตของตลาดผลิตภัณฑ์นมในประเทศไทยขึ้นเป็น 10% จากปัจจุบัน ที่สัดส่วนการเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยน้อยกว่า 5% โดยปัจจุบัน นมและผลิตภัณฑ์จากนมจากสหราชอาณาจักรผลิตและส่งออกไปยัง 80 ประเทศทั่วโลก ซึ่งในแต่ละปี ส่งออกนมและผลิตภัณฑ์จากนมมากกว่าปีละ 1,000 ล้านลิตร
หน้า 35 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ | ฉบับ 3,409 ระหว่างวันที่ 14-17 ตุลาคม 2561
