ตลาดหุ้นลุ้นทำนิวไฮ

11 ต.ค. 2561 | 12:00 น.
 

>> มั่นใจเลือกตั้งศก.หนุน-โบรกฯชี้ตุลาฯเหมาะเข้าซื้อ
จับตาตลาดหุ้นไทยเดือนตุลาคม บล.ฟินันเซียฯ มองมีโอกาสทำจุดสูงใหม่ในรอบ 5 เดือน ปัจจัยบวกความมั่นใจเลือกตั้งที่มีมากขึ้น เผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนขานรับพุ่ง 12% เป็นเดือนแรกในรอบ 7 เดือน แนะกลยุทธ์ลงทุนหุ้นขนาดใหญ่เกาะกระแสการเลือกตั้ง
นางจิตรา อมรธรรม  รองกรรม การผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์ หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเดือนตุลาคมมีแนวโน้มจะปรับสูงขึ้น และน่าจะทำจุดสูงสุดใหม่ในรอบ 5 เดือน  เนื่องจากความกังวลต่างๆ ของนักลงทุนที่เคยมีก่อนหน้านี้คลี่คลายไปมาก ขณะที่ในประเทศมีปัจจัยเรื่องเลือกตั้งและการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในช่วงปลายปี กลยุทธ์ลงทุนแนะหุ้นขนาดใหญ่โดยเฉพาะที่เกาะกระแสการเลือกตั้งและการลงทุน โดยที่ราคายัง laggard ได้แก่  BDMS (ให้ราคาเป้าหมาย 29.00 บาท), CPALL (ให้ราคาเป้าหมาย 82.00 บาท), CPN (ราคาเป้าหมาย 93 บาท), MINT (ราคาเป้าหมาย 44.00 บาท)  และ PTTGC  (ราคาเป้าหมาย 110.00 บาท)  MP17-3408-A

บทวิเคราะห์บล.ฟินันเซียฯ ระบุ จากสถิติการเลือกตั้ง 4 ครั้งที่ผ่านมาของไทย (ปี 2544, 2548,2550 และ 2554) พบว่าตลาดหุ้นมักปรับขึ้นล่วงหน้าก่อนการเลือกตั้งประมาณ 4-6 เดือน โดยปรับขึ้นเฉลี่ย 5.8-6.4% ดังนั้นหากเอาวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562 เป็นตัวตั้ง ช่วงที่เหมาะสมในการซื้อหุ้นคือในระยะนี้  หุ้นกลุ่มที่ปรับได้ดี เลือกสื่อโฆษณานอกบ้านอย่าง PLANB และกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนมักปรับขึ้นได้ดีจากแรงเก็งกำไรว่า รัฐบาลใหม่จะขับเคลื่อนประเทศด้วยการลงทุนต่างๆ หุ้นรับเหมา วัสดุก่อสร้าง และนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นหุ้นที่ปรับตัวได้ดีกว่าตลาดในช่วงนี้

หุ้นในกลุ่มนี้ ได้แก่ CK, STEC, SCC, SEAFCO, AMATA, WHA ส่วนกลุ่มที่ได้อานิสงส์โดยตรงอีกกลุ่มคือ กลุ่มค้าปลีก เนื่องจากในช่วงเลือกตั้งจะมีเม็ดเงินสะพัดเข้าสู่ระบบราว 3-4 หมื่นล้านบาท  กลุ่มธนาคารเป็นอีกกลุ่มที่โดดเด่นจากวัฏจักรสินเชื่อที่จะกลับมา บวกกับทิศทางดอกเบี้ยที่จะเริ่มเป็นขาขึ้น

บทวิเคราะห์บล.เคจีไอ (ประเทศไทย)ฯ  มองแนวโน้มการลงทุนตลาดหุ้นไทยในเดือนนี้ จากความคาดหวังปัจจัยในประเทศ ความมั่นใจในการเลือกตั้งต้นปี 2562 ที่มากขึ้น และความสามารถในการสร้างผลกําไรของบริษัทที่ผูกไว้กับปัจจัยภายนอก อาทิ นํ้ามัน  ดัชนีความเชื่อมั่นภายใน ตลอดจนการเติบโตของเศรษฐกิจไทย สะท้อนจากดอกเบี้ยขาขึ้น   ส่งผลดีต่อเชิงจิตวิทยาต่อตลาด

ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่ยังต้องติดตาม ยังเป็นเรื่องนโยบายกีดกันการค้าระหว่างประเทศของประเทศอเมริกา แม้ตลาดจะรับรู้เกือบหมดแล้วเว้นแต่จะเกิดประเด็นใหม่ ขณะที่การเมืองระหว่างอเมริกาและเกาหลีเหนือ หากมีการเจรจาต่อเนื่องอาจส่งผลต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดทุนโลก กลยุทธ์การลงทุน แนะซื้อหุ้นพื้นฐานใหญ่ที่มีผลกำไรดีต่อเนื่อง และหุ้นขนาดกลางและเล็กที่อยู่ในความสนใจของตลาดซึ่งยังเหมาะที่จะหาจังหวะซื้อเก็งกำไรระยะสั้น

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) ประจำเดือนตุลาคม 2561 ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า (ธันวาคม 2561) ปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ในเกณฑ์ร้อนแรง (Bullish) เป็นเดือนแรกในรอบ 7 เดือน โดยเพิ่มขึ้น 12.01% อยู่ที่ระดับ 120.60 โดยผลสำรวจนักลงทุนมีความเชื่อมั่นในสถาน การณ์การเมือง การเข้าสู่โหมดเลือกตั้ง และภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่เติบโตต่อเนื่อง สนับสนุนความเชื่อมั่นนักลงทุน ขณะที่นักลงทุนเฝ้าติดตามผลกระทบสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนและการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ การไหลเข้าออกของเงินทุน เป็นตัวฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุน

ด้านนายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการและกรรมการผู้อำนวยการสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน แถลงถึงผลสำรวจความเห็นของนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนต่อมุมมองในด้านการลงทุนและทิศทางดัชนีราคาหุ้นไทย (SET  Index) ในปี 2561 จากตัวแทนทีมวิเคราะห์การลงทุน 26 บริษัท ผลสำรวจ 50% มองว่าดัชนีราคาหุ้นไทยสิ้นเดือนตุลาคม 2561มีทิศทางบวก คาด SET Index ณ สิ้นเดือนนี้จะเฉลี่ยอยู่ที่ 1773 จุด

ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อดัชนีราคาหุ้นไทยในระยะสั้นคือ เรื่องการเลือกตั้งของไทย รองมาเป็นปัจจัยสงครามการค้าโลก และผลประกอบการไตรมาสที่ 3/2561 ตามลำดับ ส่วนความเห็นต่อเป้าหมายดัชนี ณ สิ้นปี 2561 มีค่าเฉลี่ยที่ 1818 จุด มากกว่าผลสำรวจของเดือนกันยายนที่ผ่านมา  EPS Growth เฉลี่ยอยู่ที่ 9.39%  และคาดการณ์  Forward P/E ปี 2561 เฉลี่ยที่ระดับ 16.18 เท่า

หน้า 17-18 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 38 ฉบับ 3,408 วันที่ 11-13 ตุลาคม 2561 595959859