ยูเอ็นเร่งนานาประเทศเลิกใช้ถ่านหิน-หนุนพลังงานหมุนเวียน

11 ต.ค. 2561 | 05:17 น.
เพื่อฉุดรั้งปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่เลวร้ายลงโลกจะต้องลงทุนในการพัฒนาพลังงานสะอาดขึ้นมาใช้ราวปีละ 2.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือกว่า 81.6 ล้านล้านบาทไปจนถึงปีค.ศ. 2035 หรือตลอดช่วง 17 ปีข้างหน้า และจะต้องลดหรือกระทั่งเลิกการใช้พลังงานจากถ่านหินภายในปี2050

จากการประชุมคณะทำงานภาครัฐระหว่างประเทศว่าด้วยเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ (ไอพีซีซี) ภายใต้องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ได้มีการเผยแพร่รายงานออกมาเมื่อต้นสัปดาห์นี้ (8 ตุลาคม) เนื้อหาเรียกร้องให้ทั้งภาครัฐและเอกชนของประเทศต่างๆทั่วโลก เร่งหามาตรการป้องกันปัญหาอุณหภูมิโลกที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งได้ส่งผลทำให้ภูเขานํ้าแข็งขั้วโลกละลายและเกิดพายุที่มีความรุนแรงมากขึ้น

(© Alexander/stock.adobe.com) SILO-GlobalWarming-adobe Polar Bear and global warming

รายงานระบุว่า อุณหภูมิโลกขยับสูงขึ้นเกือบๆ 1 องศาเซลเซียส (1.8 องศาฟาเรนไฮต์) เมื่อเทียบกับต้นยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ทั้งนี้ การเผาผลาญเชื้อเพลิงจากฟอสซิลไม่ว่าจะเป็นนํ้ามันดิบ ก๊าซธรรมชาติ หรือถ่านหิน ล้วนเป็นตัวเร่งทำให้โลกมีอุณหภูมิร้อนขึ้นเรื่อยๆ โดยการศึกษาพบว่า อุณหภูมิโลกในขณะนี้มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นอีก 3 องศาเซลเซียสภายในปี 2100 (พ.ศ. 2643) ซึ่งเป็นระดับที่สูงเกินเป้าหมายของข้อตกลงว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่กรุงปารีสถึง 2 เท่า ข้อตกลงดังกล่าวได้รับการลงนามโดยประเทศสมาชิกยูเอ็นเกือบ 200 ประเทศในการประชุมว่าด้วยเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศซึ่งมีขึ้นที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสในปี 2015

globalwarming

นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า เพียงแค่โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้น 1 องศาเซลเซียส มนุษย์ก็ได้รับผลกระทบอย่างมากแล้วจากสภาพอากาศที่มีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ระดับนํ้าทะเลสูงขึ้นและแผ่นนํ้าแข็งที่ปกคลุมผิวทะเลในเขตอาร์กติกก็ละลายลงอย่างรวดเร็ว ในการประชุมที่กรุงปารีสเมื่อปี 2015 ได้มีการตั้งโจทย์ระดมความคิดเห็นว่า โลกจะต้องทำอย่างไรหรือมีมาตรการอะไรบ้างหากต้องการจะควบคุมให้อุณหภูมิพื้นผิวโลกและในชั้นบรรยากาศเพิ่มขึ้นไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส ผลสรุปที่ได้ในเวลานั้นคือ โลกต้องลดการปล่อยไอเสียในรูปก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลง 45% (เมื่อเทียบกับระดับของปี 2010) ภายในปี 2030 หรือพ.ศ. 2573

รายงานของไอพีซีซีแนะนำมาตรการแก้ไขปัญหาโลกร้อนไว้ดังนี้ อาทิ ในแต่ละปีต้องลงทุนเพิ่มขึ้น 5 เท่าในอุตสาหกรรมพลังงานที่สร้างคาร์บอนน้อยและต้องทำต่อเนื่องไปจนถึงปี 2050 (โดยใช้ตัวเลขในปี 2015 เป็นฐาน) และเสนอว่าพลังงานหมุนเวียนรูปแบบต่างๆ จะต้องขึ้นมาเป็นพลังงานกระแสหลัก 70-85% ที่โลกใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้า เป็นต้น นั่นหมายความถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างมากในสัดส่วนโครงสร้างพลังงานที่โลกใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าซึ่งปัจจุบันใช้ถ่านหินเป็นหลัก (37%) ตามมาด้วยก๊าซธรรมชาติ (24%) รายงานระบุว่า การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องง่าย และมีต้นทุนสูง แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

หน้า 25 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3,408 วันที่ 11 - 13 ตุลาคม พ.ศ. 2561