2 แบรนด์ "ชานม-ซูชิ" ไทย รุกขยายแฟรนไชส์ในลาว
2 เอสเอ็มอีไทย "คามุ คามุ-ซูชิ เมก้า" ลุยขยายแฟรนไชส์ในลาว-เพื่อนบ้าน ดันธุรกิจโต ชี้! ตลาดกำลังซื้อสูง มุ่งกลุ่มวัยรุ่น คนวัยทำงาน
นายทินกฤต สินทัตตโสภณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท คามุ คามุ จำกัด ผู้ก่อตั้งแบรนด์ชานม KAMU TEA เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า หลังจากประสบความสำเร็จในไทย โดยปัจจุบันมี 40 สาขา ในจำนวนนี้เป็นสาขาของแฟรนไชส์ 15-20 สาขา และในปี 2562 ตั้งเป้าเพิ่มสาขาของแฟรนไชส์อีก 25-30 สาขา ส่วนที่เหลือจะเป็นสาขาของบริษัท โดยตั้งเป้าจะขยายให้ได้ 50 สาขาในอนาคต กลุ่มเป้าหมายเป็นกลุ่มวัยรุ่นและคนวัยทำงาน
ล่าสุด บริษัทได้ทำการคัดเลือกตัวแทนจำหน่ายในลาว โดยมีการเซ็นสัญญาในการซื้อขายแฟรนไชส์กับผู้ประกอบการลาว ในการเป็นตัวแทนจำหน่ายชานม KAMU TEA ส่งผลให้บริษัทมีสาขาในลาวแล้ว 4 สาขา ส่วนที่อินโดนีเซียมี 4 สาขา และอยู่ระหว่างการเจรจาที่กัมพูชา มาเลเซีย และฟิลิปปินส์
ทั้งนี้ ที่อินโดนีเซียเป็นตลาดที่กำลังมาแรง เนื่องจากกลุ่มผู้บริโภคกำลังหันมาใส่ใจสุขภาพกันมากขึ้น ดังนั้น สินค้าของบริษัทจะเน้นไปกลุ่มผู้รักสุขภาพ โดยบริษัทตั้งเป้ารายได้เฉลี่ยที่ 10 ล้านบาทต่อปี และปี 2562 คาดว่าน่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้น 20-30%
"ลาวถือว่าเป็นตลาดที่มีศักยภาพ แม้ว่าเราเองเป็นเอสเอ็มอี แต่ก็มองหาผู้ร่วมทุนที่พร้อมจะขยายธุรกิจไปกับเรา ดังนั้น การเข้ามาขยายตลาดที่เราทำให้มั่นใจว่า จะผลักดันให้บริษัทเติบโตได้ในอนาคต โดยเงินลงทุนสำหรับค่าแฟรนไชส์อยู่ที่ 1 ล้านบาท สามารถคืนทุนได้ภายใน 2-3 ปี ซึ่งขึ้นอยู่กับทำเลที่ตั้งร้าน"
ด้าน นายสุริยัน ปะวะเสนะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท Sushi Mega จำกัด ผู้ก่อตั้งร้านซูชิระดับพรีเมียมในไทย กล่าวว่า บริษัทได้ทำธุรกิจซูชิระดับพรีเมียม โดยเปิดมาได้ 4 ปี มีสาขาในไทย 8 สาขา และได้ขยายสาขามายังลาว โดยการขายแฟรนไชส์ให้กับผู้ประกอบการในลาว ทั้งนี้ ตลาดลาวถือว่าเป็นตลาดที่มีศักยภาพและยังมีกำลังซื้อสูง ซึ่งบริษัทได้เล็งเห็นถึงโอกาสในการขยายตลาดโดยเป็นสาขาแรกในลาวและตั้งเป้ายอดขายเดือนละ 2 ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนจะขยายการลงทุนในปีหน้าไปยังกัมพูชา ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจากับผู้ร่วมทุน โดยบริษัทตั้งเป้าโตทั้งปี 150 ล้านบาท และในปีหน้าสัดส่วนรายได้จะมาจากการขายแฟรนไชส์ 80% และอีก 20% มาจากรายได้จากสาขาที่เป็นของบริษัทที่มีอยู่ 5 สาขา
หน้า 8 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 38 ฉบับที่ 3,408 วันที่ 11-13 ตุลาคม 2561
นายทินกฤต สินทัตตโสภณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท คามุ คามุ จำกัด ผู้ก่อตั้งแบรนด์ชานม KAMU TEA เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า หลังจากประสบความสำเร็จในไทย โดยปัจจุบันมี 40 สาขา ในจำนวนนี้เป็นสาขาของแฟรนไชส์ 15-20 สาขา และในปี 2562 ตั้งเป้าเพิ่มสาขาของแฟรนไชส์อีก 25-30 สาขา ส่วนที่เหลือจะเป็นสาขาของบริษัท โดยตั้งเป้าจะขยายให้ได้ 50 สาขาในอนาคต กลุ่มเป้าหมายเป็นกลุ่มวัยรุ่นและคนวัยทำงาน
ล่าสุด บริษัทได้ทำการคัดเลือกตัวแทนจำหน่ายในลาว โดยมีการเซ็นสัญญาในการซื้อขายแฟรนไชส์กับผู้ประกอบการลาว ในการเป็นตัวแทนจำหน่ายชานม KAMU TEA ส่งผลให้บริษัทมีสาขาในลาวแล้ว 4 สาขา ส่วนที่อินโดนีเซียมี 4 สาขา และอยู่ระหว่างการเจรจาที่กัมพูชา มาเลเซีย และฟิลิปปินส์
ทั้งนี้ ที่อินโดนีเซียเป็นตลาดที่กำลังมาแรง เนื่องจากกลุ่มผู้บริโภคกำลังหันมาใส่ใจสุขภาพกันมากขึ้น ดังนั้น สินค้าของบริษัทจะเน้นไปกลุ่มผู้รักสุขภาพ โดยบริษัทตั้งเป้ารายได้เฉลี่ยที่ 10 ล้านบาทต่อปี และปี 2562 คาดว่าน่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้น 20-30%
"ลาวถือว่าเป็นตลาดที่มีศักยภาพ แม้ว่าเราเองเป็นเอสเอ็มอี แต่ก็มองหาผู้ร่วมทุนที่พร้อมจะขยายธุรกิจไปกับเรา ดังนั้น การเข้ามาขยายตลาดที่เราทำให้มั่นใจว่า จะผลักดันให้บริษัทเติบโตได้ในอนาคต โดยเงินลงทุนสำหรับค่าแฟรนไชส์อยู่ที่ 1 ล้านบาท สามารถคืนทุนได้ภายใน 2-3 ปี ซึ่งขึ้นอยู่กับทำเลที่ตั้งร้าน"
ด้าน นายสุริยัน ปะวะเสนะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท Sushi Mega จำกัด ผู้ก่อตั้งร้านซูชิระดับพรีเมียมในไทย กล่าวว่า บริษัทได้ทำธุรกิจซูชิระดับพรีเมียม โดยเปิดมาได้ 4 ปี มีสาขาในไทย 8 สาขา และได้ขยายสาขามายังลาว โดยการขายแฟรนไชส์ให้กับผู้ประกอบการในลาว ทั้งนี้ ตลาดลาวถือว่าเป็นตลาดที่มีศักยภาพและยังมีกำลังซื้อสูง ซึ่งบริษัทได้เล็งเห็นถึงโอกาสในการขยายตลาดโดยเป็นสาขาแรกในลาวและตั้งเป้ายอดขายเดือนละ 2 ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนจะขยายการลงทุนในปีหน้าไปยังกัมพูชา ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจากับผู้ร่วมทุน โดยบริษัทตั้งเป้าโตทั้งปี 150 ล้านบาท และในปีหน้าสัดส่วนรายได้จะมาจากการขายแฟรนไชส์ 80% และอีก 20% มาจากรายได้จากสาขาที่เป็นของบริษัทที่มีอยู่ 5 สาขา
หน้า 8 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 38 ฉบับที่ 3,408 วันที่ 11-13 ตุลาคม 2561
