จับเข่าคุย‘นายกทัวร์ไทย-จีน’ จี้รัฐตั้งการ์ดรับนักท่องเที่ยว 10 ล้านคน

25 ก.พ. 2559 | 04:00 น.
นักท่องเที่ยวชาวจีนเป็นตลาดที่มีความร้อนแรงอย่างต่อเนื่องหลายประเทศรวมทั้งไทยต่างหวังกำลังซื้อจากแดนมังกร หลัง 2-3 ปีให้หลังมานี่ ทัวร์จีนทะลักเข้าไทยแบบก้าวกระโดดจาก 4.6 ล้านคนในปี 2557 พุ่งมาเกือบจะทะลุ 8 ล้านคนเมื่อปีที่แล้ว และปีนี้มีการประมาณการว่าจะเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 10 ล้านคนทำให้เกิดคำถามต่าง ๆ ตามมามากมาย

[caption id="attachment_33143" align="aligncenter" width="356"] รณรงค์ ชีวีนสิริอำนวย นายกสมาคมผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวสัมพันธ์ไทย-จีน รณรงค์ ชีวีนสิริอำนวย
นายกสมาคมผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวสัมพันธ์ไทย-จีน[/caption]

ต่อเรื่องนี้นายรณรงค์ ชีวีนสิริอำนวย นายกสมาคมผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวสัมพันธ์ไทย-จีน ให้สัมภาษณ์พิเศษ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่าสิ่งที่สะท้อนมาจากบรรดาสมาชิกที่ทำตลาดทัวร์จีนร่วม 260 บริษัท โดยระบุปัญหาใหญ่ของนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมาท่องเที่ยวประเทศไทย ขณะนี้ไม่ใช่ว่านักท่องเที่ยวจะไม่มาเพราะได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจภายในของจีน การหันมาส่งเสริมให้คนจีนเที่ยวในประเทศ ค่าเงินหยวนหรือดัชนีตลาดหุ้นจีนปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงเมื่อต้นปี ดังที่หลายฝ่ายคาดการณ์

[caption id="attachment_33144" align="aligncenter" width="600"] จำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมาเยือนไทยย้อนหลัง 5 ปี จำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมาเยือนไทยย้อนหลัง 5 ปี[/caption]

 ยันนักท่องเที่ยวยังโตแม้ศก.ตก

"ผมมั่นใจว่าปัจจัยเหล่านี้ไม่กระทบกับนักท่องเที่ยวจีนที่ยังคงเดินทางออกท่องเที่ยวต่างประเทศและยังมาเมืองไทยอย่างแน่นอนและมากกว่าเดิม แต่ปัญหาอยู่ที่ความไม่พร้อมในการรองรับนักท่องเที่ยวต่างหาก " เขากล่าวอย่างมั่นใจ

พร้อมขยายความว่า สังเกตได้จากช่วงเทศกาลตรุษจีนที่ผ่านมา นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้พบผู้บริหารระดับสูงด้านท่องเที่ยวของรัฐบาลจีน เขาบอกว่านักท่องเที่ยวจีนจะเดินทางออกนอกประเทศ 6 ล้านคนในช่วงนั้นและ 1 ใน 3 มาเมืองไทยหรือมีจำนวน 2 ล้านคน ช่วงวันที่ 6-20 กุมภาพันธ์(14วัน) ซึ่งถ้ามาจริงผู้ประกอบการไทยก็รับไม่ไหว เพราะสิ่งอำนวยความสะดวกเราไม่พร้อม จะเห็นว่าเครื่องบินไม่สามารถบินลงสนามบินภูเก็ตได้ต้องไปลงกระบี่ สนามบินเชียงใหม่หลังเที่ยงคืนห้ามบิน โรงแรมในเมืองท่องเที่ยวก็เต็ม ภาคเหนือจะเห็นป้ายทะเบียนรถจีนเต็มไปหมด

"เบ็ดเสร็จช่วงตรุษจีนจึงมีนักท่องเที่ยวจีนมาไม่ถึง 2 ล้านคน มาแค่ 7-8 แสนคน เพราะส่วนหนึ่งมีปัญหาไกด์ภาษาจีนของเรามีไม่เพียงพอที่จะรองรับ บริษัทนำเที่ยวเลยหันไปจัดทัวร์ไปเที่ยวญี่ปุ่นแทน จากการตรวจสอบไปยังบริษัทนำเที่ยวที่เป็นสมาชิก"

อย่างไรก็ดีผมยังมีความเชื่อว่าตลาดทัวร์จีนปีนี้จะมาเมืองไทย 10 ล้านคน ดังที่คาดการณ์ไว้หรืออาจจะมากถึง 15 ล้านคนก็มีความเป็นไปได้ เพราะขณะนี้คนจีนออกเดินทางนอกประเทศปีละ 140 ล้านคน แต่มาเมืองไทยแค่ราว 8 ล้านคน เมื่อปีที่แล้ว ยังไม่ถึง 1 % ด้วยซ้ำไป ดังนั้นแนวโน้มยังเติบโตได้สูง แต่ปัญหาอยู่ที่การรองรับของประเทศไทยว่ามีความพร้อมในการรับแค่ไหนมากกว่า

 ไกด์ขาดหนักบริษัทไม่กล้ารับทัวร์

ปัญหาใหญ่คือไกด์ภาษาจีนไม่พอกับสัดส่วนการขยายตัวของนักท่องเที่ยว นายรณรงค์ระบุว่า เราต้องการเพิ่มอีก 50 % หรืออีก 5 พันคนจากที่มีอยู่และใช้งานได้จริงคือสื่อสารภาษาจีนได้คล่องแคล่ว และมีบัตรไกด์ถูกต้อง 2.8 พันคน อีก 2 พันคนพูดได้เป็นบางคำ ทางสมาคมจึงต้องการให้มีการผ่อนผันหรืออนุโลม ให้ไกด์ที่ถือบัตรสีชมพูสามารถทำทัวร์ได้นอกพื้นที่รวมถึงให้ไกด์คนไทยนั่งประกบไปบนรถกับคนที่พูดภาษาจีนได้แต่ไม่มีบัตรไกด์เพราะวุฒิการศึกษาไม่สามารถสอบได้ เพื่อแก้ปัญหาไกด์ขาดแคลนเป็นการชั่วคราว เป็นต้น

"เพราะผลิตไม่ทันแน่ จึงเสนอให้เป็นการจ้างชั่วคราว โดยมาขึ้นทะเบียนกับสมาคม หรือกรมการท่องเที่ยวเฉพาะในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวมีการเสียภาษีอยู่ถูกต้องตามกฎหมายสักเดือนสองเดือน จากนั้นก็ต้องเร่งฝึกอบรมเพื่อแก้ปัญหาระยะสั้นไปก่อน ระยะต่อไปอยู่ที่ภาครัฐจะแก้อย่างไร"

มิเช่นนั้นปัญหาที่ตามมาก็คือบริษัทนำเที่ยวจึงไม่กล้ารับทัวร์เพราะไม่อยากทำผิดกฎหมาย เพราะบทลงโทษแรงถึงขั้นปิดบริษัท ทำให้หลายบริษัทไม่กล้ารับนักท่องเที่ยว โดยถ้าเฉลี่ยไกด์หนึ่งคนจะรับนักท่องเที่ยวได้เพียง 3 กลุ่มต่อเดือนกรุ๊ปละ 20-30 คน ปีหนึ่งรับนักท่องเที่ยวเฉลี่ยได้ 900 คน แถมก็ยังมีนักท่องเที่ยวแบบเอฟไอที 3-5 คนมาแย่งไปอีกส่วนหนึ่งยิ่งทำให้ขาดแคลนหนักขึ้น ที่ผ่านมาจึงมีการร้องเรียนมาที่สมาคมไม่เว้นวันให้ช่วยหาไกด์ให้ที

 สินค้ายางพาราปลอมระบาดหนัก

นอกจากปัญหาไกด์ขาดแคลนแล้ว ยังพบปัญหามีการร้องเรียนจากนักท่องเที่ยวจีนเรื่องสินค้าปลอม โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์จากยางพาราไม่ว่าจะเป็นหมอน ที่นอน ซึ่งเป็นที่นิยมมากจากนักท่องเที่ยวชาวจีนโดยเฉลี่ย 35 % นักท่องเที่ยวจะต้องซื้อกลับไป เพราะเขาเชื่อว่าดีต่อสุขภาพ ทำให้มีผู้ฉวยโอกาสนำสินค้าไม่มีคุณภาพมาหลอกขายนักท่องเที่ยว โดยไม่รู้ว่านำเข้าที่ไหน แต่เขาทำให้นักท่องเที่ยวเข้าใจว่าเป็นสินค้าของประเทศไทยทำให้เสียชื่อเสียง

เรื่องนี้กำลังเป็นปัญหาใหญ่เพราะจีนมีกฎหมายควบคุมการซื้อสินค้าหากไม่มีคุณภาพต้องคืนได้ภายใน 90 วัน ซึ่งต้องมีการตรวจสอบแหล่งที่ซื้อมา แต่ก็ทำได้ยากเพราะเป็นการล่อขายตามหน้าโรงแรม ไม่มีที่ไปที่มา สุดท้ายพบว่าเป็นของปลอม แต่ระบุว่าเป็นแบรนด์ของประเทศไทย เดิมระบาดที่ภูเก็ต แต่ตอนนี้ลุกลามมากรุงเทพฯ พัทยาและเมืองท่องเที่ยวอื่น ๆ ตามมา จนน่าเป็นห่วง เพราะขายในราคาถูกที่ถูกมากทำให้นักท่องเที่ยวหลงเชื่อ ทั้งที่ของจริงหมอนราคาเป็นพันบาท ส่วนที่นอนราคาตั้งแต่ 2 หมื่นบาทขึ้นไป

"ที่ผ่านมาแม้ได้มีการชี้แจงไปยังกรรมาธิการท่องเที่ยว เพื่อแก้ไขแต่ยังไม่เห็นผลเป็นรูปธรรม ทั้งที่เดิมภาครัฐมีเจตนาจะช่วยชาวสวนยางพารา และเคยมีไอเดียจะแจกหมอนนักท่องเที่ยวชาวจีนคนละใบ แต่เอาเข้าจริงทำไม่ได้เพราะโรงงานผลิตได้แค่ 7 ล้านใบต่อปี แต่นักท่องเที่ยวชาวจีนมีถึง 8 ล้านคน ไม่สามารถแจกจ่ายได้อย่างทั่วถึงโครงการนี้จึงยกเลิกไป" นายกสมาคมผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวสัมพันธ์ไทย-จีนกล่าว

อย่างไรก็ดี เขายังบอกอีกว่า ตามความคิดของผมเห็นว่าที่ผ่านมารัฐบาลก็ให้ความสำคัญต่อการท่องเที่ยวและใช้เป็นหัวหอกในการฟื้นเศรษฐกิจ เพราะเห็นชัดว่านักท่องเที่ยวกำเงินสดเข้ามาใช้ และหวังอัตราการเติบโตทั้งปีโดยเฉพาะทัวร์จีนที่เดินทางสม่ำเสมอแต่ถ้าขืนเป็นอย่างนี้คงเป็นไปได้ยาก เพราะนักท่องเที่ยวโตเร็วเกินไปจนรับมือไม่ทัน

"เหมือนเห็นเงินอยู่ตรงหน้าแต่ไม่มีอุปกรณ์ไปเขี่ยมา ทุกวันนี้ไม่ต้องกลัวว่านักท่องเที่ยวจะไม่มาเพราะประเทศไทยผ่านทั้งม็อบการเมือง ทั้งระเบิดราชประสงค์มาแล้วแต่ทัวร์จีนก็เติบโตมาโดยตลอดและรัฐบาลจีนไม่เคยประกาศเตือนไม่ให้คนของเขามาเมืองไทย" นายรณรงค์ย้ำ

ส่วนปัญหาเรื่องพฤติกรรมทัวร์จีนที่ตกเป็นข่าวตามโลกโซเชียลมีเดียนั้น เรื่องนี้รัฐบาลจีนก็ไม่ได้นิ่งนอนใจมีการควบคุมนักท่องเที่ยวและมีบทลงโทษที่รุนแรง รวมถึงการส่งเสียงดัง การแต่งกายไม่สุภาพเป็นเรื่องที่กำลังแก้ไขกันอยู่ ส่วนหนึ่งก็ต้องยอมว่าวัฒนธรรมของเขาเป็นอย่างนี้มากกว่า 5 พันปีจึงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ เพราะมีการรณรงค์ให้ความรู้ และตลาดทัวร์จีนเริ่มมีคุณภาพมากขึ้น สมาคมได้ทำงานกับสถานทูตจีนในไทย อย่างใกล้ชิด เพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ และหลายปัญหายังต้องรณรงค์กันต่อไป

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,134 วันที่ 25 - 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559