ชิงเค้ก "โฮมช็อปปิ้ง" !! 'ทีวีไดเร็ค' ปลุกบิ๊กเนมปรับเกม - 'โมโน' ท้ารบ
ชิงเค้กธุรกิจโฮมช็อปปิ้ง! "โอช้อปปิ้ง" ยกเครื่องโครงสร้างภายในใหม่ยกกระบิ ทั้งคอลล์เซ็นเตอร์ โลจิสติกส์ คลังสินค้า เพิ่มไลน์สินค้ากลุ่มประกันภัย ท่องเที่ยว ขณะที่ "อาร์เอส" ขยายไลน์สินค้า พร้อมเปิดช่องพาร์ตเนอร์เฟ้นหาของใหม่ ด้าน "โมโน 29" เล็งปั้นรายได้ขึ้นที่ 2 ต่อจากโฆษณา หลังชิมลางขาย 2-4 นาที โกยยอดขายทะลุหลักแสน
การประกาศตัวเข้าถือหุ้นในสปริงนิวส์ ช่อง 19 ของ "ทีวี ไดเร็ค" ปลุกให้ธุรกิจโฮมช็อปปิ้งกลับมาคึกคักอีกครั้ง เพราะถือเป็นการลงทุนครั้งใหญ่ เปิดตลาดขยายช่องทางเจาะเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคในวงกว้าง ถือเป็นการผสมผสานฐานผู้ชมเดิมของสปริงนิวส์ เข้ากับฐานลูกค้าของทีวี ไดเร็ค พร้อม ๆ กับการสรรหาผู้ชมใหม่ ๆ ส่งผลให้ผู้ประกอบการอื่นในตลาดโฮมช็อปปิ้งต้องลุกขึ้นมาทำงานหนัก เพื่อรักษาฐานลูกค้าของตัวเองเอาไว้
โดย นายสุวัฒน์ ดำรงชัยธรรม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท จีเอ็มเอ็ม ซีเจ โอ ช้อปปิ้ง จำกัด เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า บริษัทได้ปรับโครงสร้างองค์กรภายในทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ระบบ Call Center, ระบบโลจิสติกส์, ระบบคลังสินค้า, การเพิ่มไลน์สินค้า รวมถึงการลดต้นทุนและเพิ่มช่องทางการขายรูปแบบใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะช่องทางทีวีดิจิตอล อาทิ ช่อง GMM 25 และ ช่อง Mcot Family ที่ปัจจุบัน บริษัทซื้อเวลาโฆษณามา สามารถช่วยการเข้าถึงกลุ่มผู้ชมได้มากขึ้น อีกทั้งในอนาคตยังเตรียมเพิ่มช่องทางการขายบนช่องทีวีดิจิตอลเพิ่มขึ้น ซึ่งขณะนี้ กำลังอยู่ในระหว่างเจรจากับพาร์ตเนอร์ทีวี
เพื่อรองรับการแข่งขันของธุรกิจโฮมช็อปปิ้ง ที่ปัจจุบันเริ่มรุนแรงมากขึ้น เนื่องจากมีจำนวนผู้ประกอบการลงมาเล่นในตลาดนี้เพิ่ม โดยปัจจุบัน มีผู้เล่นทั้งในช่องทางทีวีดาวเทียมและทีวีดิจิตอลจำนวนกว่า 100 ราย ซึ่งในแง่ดีของการมีจำนวนผู้ประกอบการมากขึ้น คือ การทำให้คำว่า โฮมช็อปปิ้ง เป็นที่รู้จักมากขึ้นในวงกว้าง พร้อมยังสร้างความน่าเชื่อถือและความมั่นใจให้ผู้บริโภคที่ทำให้กล้าซื้อสินค้ามากขึ้น แต่ขณะเดียวกัน ก็นับว่าเป็นธุรกิจที่ปราบเซียนพอสมควร สำหรับในด้านของบริษัทค่อนข้างมีความโชคดีที่เป็นผู้เล่นรายแรก ๆ
"ผมมองว่า ปัจจุบันตลาดโฮมช็อปปิ้งเปรียบเหมือนน่านนํ้าสีชมพู ยังไม่ถือว่าเป็นตลาด Red Ocean แต่ภายใน 3-5 ปีข้างหน้า จะก้าวสู่ตลาดน่านนํ้าสีแดงแน่นอน อีกทั้งผมมองว่า ธุรกิจโฮมช็อปปิ้งกำลังอยู่ในช่วงเนื้อหอมที่ใครหลายคนกำลังให้ความสนใจและก้าวเข้ามาลงเล่น แต่ธุรกิจนี้จัดว่าเป็นธุรกิจที่ค่อนข้างปราบเซียนพอสมควร เนื่องจากมีรายละเอียดจำนวนมากที่ต้องบริหารจัดการ อีกทั้งจากการที่มีอาร์เอสเข้ามาลงเล่นในตลาดนี้ ผมเชื่อว่าจะทวีคูณการแข่งขันเพิ่มมากขึ้น รวมถึงเป็นที่จับตามองของธุรกิจสื่อและธุรกิจโฮมช็อปปิ้ง”
แม้ปัจจุบัน บริษัทจะเป็นผู้นำในตลาด แต่ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจอย่างใด ยังเร่งปรับกลยุทธ์ด้านต่าง ๆ ภายในองค์กร เพื่อเตรียมรับมือการแข่งขันมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องของ Call Center ที่ปัจจุบัน จ้างระบบ Outsourcing ทำให้สามารถเปิดรับสายได้แบบไม่จำกัด ขณะที่ ในเรื่องของสินค้าในปีนี้หน้า บริษัทได้วางแผนเพิ่มกลุ่มไลน์สินค้าประเภท ประกันภัยและการบริการท่องเที่ยวเข้ามา จากเดิมที่เคยเน้นขายสินค้าประเภทชุดชั้นใน เครื่องครัว เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องสำอาง และเครื่องออกกำลังกาย เป็นต้น
สำหรับเป้ารายได้ธุรกิจของโอช้อปปิ้งในปีนี้ บริษัทคาดว่าจะมียอดขาย 2,500 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 20% จากปีก่อนที่มีรายได้ 2,300 ล้านบาท
ด้าน นายสุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากนี้จะได้เห็นภาพอาร์เอสทำธุรกิจใหม่ไร้กรอบ (Beyond the Limit) เป็นแพลตฟอร์มขายสินค้าและบริการได้ทุกอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น เพราะขณะนี้ บริษัทมีจุดแข็งเป็นเจ้าของสื่อและระบบ Call Center ที่วางรากฐานไว้แข็งแกร่งแล้ว ทั้งธุรกิจ Shop 1781 ช้อปทันที ส่งฟรีทั่วไทย และธุรกิจแบรนด์ไลฟ์สตาร์ ทำให้มีข้อได้เปรียบด้าน Big Data หรือ ฐานข้อมูล โดยรู้ว่าลูกค้าคือใคร พฤติกรรมการซื้อเป็นอย่างไร สามารถนำเสนอสินค้าและบริการได้ตรงความต้องการของลูกค้า ซึ่งถ้าลูกค้าซื้อสินค้าของบริษัท ทั้งนี้ บริษัทมั่นใจว่าจะทำให้ผลประกอบการทั้งกลุ่มอาร์เอสในปีนี้ทำกำไรสูงสุดนับแต่ก่อตั้งบริษัทมา
โดย 3 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ 1.Diversity การเพิ่มสินค้าคุณภาพใหม่จำนวนมากตลอดทั้งปี จากปัจจุบัน 37 รายการ รวมเป็น 75 รายการ พร้อมเพิ่มสินค้ากลุ่มใหม่เข้าทำตลาด ได้แก่ กลุ่มอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มลีฟวิ่ง (Living) กลุ่มจิวเวลรี (Jewelry) กลุ่มเครื่องประดับ (Accessories) เป็นต้น ซึ่งบริษัทคาดว่า กลุ่มสินค้าใหม่ที่เข้ามาจะประสบความสำเร็จเกินความคาดหมายเช่นเดียวกันกับกลุ่มเครื่องครัวและกลุ่มสลิม แวร์ 2.Up&Cross Selling เปิดโอกาสให้พันธมิตรธุรกิจนำเสริมทัพสินค้าอื่น ๆ ช่วยสร้างยอดขายเติบโต และ 3.Database การนำฐานข้อมูลมาใช้ให้เกิดประสิทธิภาพทำให้เพิ่มโอกาสสร้างยอดขาย
"บริษัทตั้งเป้าปีนี้จะมีรายได้กลุ่มธุรกิจสุขภาพความงามและพาณิชย์ (Health & Beauty and Commerce) 3,500 ล้านบาท ซึ่งเป็นธุรกิจที่เติบโตก้าวกระโดดสูงกว่า 150% จากปีก่อน คิดเป็นสัดส่วน 65% ของรายได้รวมกลุ่มอาร์เอส 5,800 ล้านบาท เพราะได้รับอานิสงส์จากการมุ่งเน้นค้นคว้าวิจัยและพัฒนาสินค้าชูนวัตกรรมตามที่กล่าวข้างต้น"
ขณะที่ นายทรงพล ชัญมาตรกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีวี ไดเร็ค จำกัด (มหาชน) หรือ TVD กล่าวแสดงความคิดเห็นว่า ปัจจุบัน ธุรกิจทีวีโฮมช็อปปิ้งยังมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และบริษัทเชื่อว่า ทิศทางธุรกิจนี้ยังสามารถเติบโตได้อีกเมื่อเทียบกับประเทศเกาหลี จีน และญี่ปุ่น ขณะที่ ภายในสิ้นปีนี้บริษัทเชื่อว่าตลาดจะสามารถเติบโตได้กว่า 15% หรือมีมูลค่าตลาดที่ 1.35 หมื่นล้านบาท จากเดิมในปีก่อนมีมูลค่าที่ 1.1 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันยังคงมีผู้บริโภคที่รับชมทีวีดิจิตอลอีกเป็นจำนวนมาก ทำให้การเสนอขายสินค้าทางรายการโฮมช็อปปิ้งมีผลตอบรับที่ดี ดังนั้น การขายสินค้าที่ได้ผลในยุคนี้จึงไม่สามารถพึ่งพาช่องทางทีวี ช่องทางออนไลน์ หรือ ร้านค้า เพียงช่องทางใดช่องทางหนึ่ง แต่ต้องรุกทุกช่องทางไปพร้อมกัน
นอกจากนี้ ยังพบว่าผู้ประกอบการทีวีดิจิตอลหลายรายให้ความสนใจที่จะโดดเข้าสู่สนามโฮมช็อปปิ้ง ด้วยเพราะมีสื่ออยู่ในมือ หนึ่งในนั้นคือ บริษัท โมโน บรอดคาซท์ จำกัด ผู้บริหารช่อง MONO 29 ซึ่งได้ทดลองนำสินค้ามาขายผ่านช่องโมโน 29 ในช่วงที่ผ่านมา พบว่า ได้รับการตอบรับที่ดี โดยมีการขายสินค้า 2-4 นาที มียอดรายได้เข้ามากว่าแสนบาทและมีแนวโน้มที่ดีขึ้น ทำให้มีแผนที่จะเพิ่มไลน์สินค้า และขยายช่วงเวลาการขายให้มากขึ้น ซึ่งในอนาคตคาดว่ารายได้จากโฮมช็อปปิ้งสามารถขึ้นมาเป็นรายได้อันดับ 2 รองจากรายได้โฆษณา
หน้า 36 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ | ฉบับ 3,408 ระหว่างวันที่ 11-13 ตุลาคม 2561
การประกาศตัวเข้าถือหุ้นในสปริงนิวส์ ช่อง 19 ของ "ทีวี ไดเร็ค" ปลุกให้ธุรกิจโฮมช็อปปิ้งกลับมาคึกคักอีกครั้ง เพราะถือเป็นการลงทุนครั้งใหญ่ เปิดตลาดขยายช่องทางเจาะเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคในวงกว้าง ถือเป็นการผสมผสานฐานผู้ชมเดิมของสปริงนิวส์ เข้ากับฐานลูกค้าของทีวี ไดเร็ค พร้อม ๆ กับการสรรหาผู้ชมใหม่ ๆ ส่งผลให้ผู้ประกอบการอื่นในตลาดโฮมช็อปปิ้งต้องลุกขึ้นมาทำงานหนัก เพื่อรักษาฐานลูกค้าของตัวเองเอาไว้
โดย นายสุวัฒน์ ดำรงชัยธรรม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท จีเอ็มเอ็ม ซีเจ โอ ช้อปปิ้ง จำกัด เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า บริษัทได้ปรับโครงสร้างองค์กรภายในทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ระบบ Call Center, ระบบโลจิสติกส์, ระบบคลังสินค้า, การเพิ่มไลน์สินค้า รวมถึงการลดต้นทุนและเพิ่มช่องทางการขายรูปแบบใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะช่องทางทีวีดิจิตอล อาทิ ช่อง GMM 25 และ ช่อง Mcot Family ที่ปัจจุบัน บริษัทซื้อเวลาโฆษณามา สามารถช่วยการเข้าถึงกลุ่มผู้ชมได้มากขึ้น อีกทั้งในอนาคตยังเตรียมเพิ่มช่องทางการขายบนช่องทีวีดิจิตอลเพิ่มขึ้น ซึ่งขณะนี้ กำลังอยู่ในระหว่างเจรจากับพาร์ตเนอร์ทีวี
เพื่อรองรับการแข่งขันของธุรกิจโฮมช็อปปิ้ง ที่ปัจจุบันเริ่มรุนแรงมากขึ้น เนื่องจากมีจำนวนผู้ประกอบการลงมาเล่นในตลาดนี้เพิ่ม โดยปัจจุบัน มีผู้เล่นทั้งในช่องทางทีวีดาวเทียมและทีวีดิจิตอลจำนวนกว่า 100 ราย ซึ่งในแง่ดีของการมีจำนวนผู้ประกอบการมากขึ้น คือ การทำให้คำว่า โฮมช็อปปิ้ง เป็นที่รู้จักมากขึ้นในวงกว้าง พร้อมยังสร้างความน่าเชื่อถือและความมั่นใจให้ผู้บริโภคที่ทำให้กล้าซื้อสินค้ามากขึ้น แต่ขณะเดียวกัน ก็นับว่าเป็นธุรกิจที่ปราบเซียนพอสมควร สำหรับในด้านของบริษัทค่อนข้างมีความโชคดีที่เป็นผู้เล่นรายแรก ๆ
"ผมมองว่า ปัจจุบันตลาดโฮมช็อปปิ้งเปรียบเหมือนน่านนํ้าสีชมพู ยังไม่ถือว่าเป็นตลาด Red Ocean แต่ภายใน 3-5 ปีข้างหน้า จะก้าวสู่ตลาดน่านนํ้าสีแดงแน่นอน อีกทั้งผมมองว่า ธุรกิจโฮมช็อปปิ้งกำลังอยู่ในช่วงเนื้อหอมที่ใครหลายคนกำลังให้ความสนใจและก้าวเข้ามาลงเล่น แต่ธุรกิจนี้จัดว่าเป็นธุรกิจที่ค่อนข้างปราบเซียนพอสมควร เนื่องจากมีรายละเอียดจำนวนมากที่ต้องบริหารจัดการ อีกทั้งจากการที่มีอาร์เอสเข้ามาลงเล่นในตลาดนี้ ผมเชื่อว่าจะทวีคูณการแข่งขันเพิ่มมากขึ้น รวมถึงเป็นที่จับตามองของธุรกิจสื่อและธุรกิจโฮมช็อปปิ้ง”
แม้ปัจจุบัน บริษัทจะเป็นผู้นำในตลาด แต่ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจอย่างใด ยังเร่งปรับกลยุทธ์ด้านต่าง ๆ ภายในองค์กร เพื่อเตรียมรับมือการแข่งขันมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องของ Call Center ที่ปัจจุบัน จ้างระบบ Outsourcing ทำให้สามารถเปิดรับสายได้แบบไม่จำกัด ขณะที่ ในเรื่องของสินค้าในปีนี้หน้า บริษัทได้วางแผนเพิ่มกลุ่มไลน์สินค้าประเภท ประกันภัยและการบริการท่องเที่ยวเข้ามา จากเดิมที่เคยเน้นขายสินค้าประเภทชุดชั้นใน เครื่องครัว เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องสำอาง และเครื่องออกกำลังกาย เป็นต้น
สำหรับเป้ารายได้ธุรกิจของโอช้อปปิ้งในปีนี้ บริษัทคาดว่าจะมียอดขาย 2,500 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 20% จากปีก่อนที่มีรายได้ 2,300 ล้านบาท
ด้าน นายสุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากนี้จะได้เห็นภาพอาร์เอสทำธุรกิจใหม่ไร้กรอบ (Beyond the Limit) เป็นแพลตฟอร์มขายสินค้าและบริการได้ทุกอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น เพราะขณะนี้ บริษัทมีจุดแข็งเป็นเจ้าของสื่อและระบบ Call Center ที่วางรากฐานไว้แข็งแกร่งแล้ว ทั้งธุรกิจ Shop 1781 ช้อปทันที ส่งฟรีทั่วไทย และธุรกิจแบรนด์ไลฟ์สตาร์ ทำให้มีข้อได้เปรียบด้าน Big Data หรือ ฐานข้อมูล โดยรู้ว่าลูกค้าคือใคร พฤติกรรมการซื้อเป็นอย่างไร สามารถนำเสนอสินค้าและบริการได้ตรงความต้องการของลูกค้า ซึ่งถ้าลูกค้าซื้อสินค้าของบริษัท ทั้งนี้ บริษัทมั่นใจว่าจะทำให้ผลประกอบการทั้งกลุ่มอาร์เอสในปีนี้ทำกำไรสูงสุดนับแต่ก่อตั้งบริษัทมา
โดย 3 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ 1.Diversity การเพิ่มสินค้าคุณภาพใหม่จำนวนมากตลอดทั้งปี จากปัจจุบัน 37 รายการ รวมเป็น 75 รายการ พร้อมเพิ่มสินค้ากลุ่มใหม่เข้าทำตลาด ได้แก่ กลุ่มอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มลีฟวิ่ง (Living) กลุ่มจิวเวลรี (Jewelry) กลุ่มเครื่องประดับ (Accessories) เป็นต้น ซึ่งบริษัทคาดว่า กลุ่มสินค้าใหม่ที่เข้ามาจะประสบความสำเร็จเกินความคาดหมายเช่นเดียวกันกับกลุ่มเครื่องครัวและกลุ่มสลิม แวร์ 2.Up&Cross Selling เปิดโอกาสให้พันธมิตรธุรกิจนำเสริมทัพสินค้าอื่น ๆ ช่วยสร้างยอดขายเติบโต และ 3.Database การนำฐานข้อมูลมาใช้ให้เกิดประสิทธิภาพทำให้เพิ่มโอกาสสร้างยอดขาย
"บริษัทตั้งเป้าปีนี้จะมีรายได้กลุ่มธุรกิจสุขภาพความงามและพาณิชย์ (Health & Beauty and Commerce) 3,500 ล้านบาท ซึ่งเป็นธุรกิจที่เติบโตก้าวกระโดดสูงกว่า 150% จากปีก่อน คิดเป็นสัดส่วน 65% ของรายได้รวมกลุ่มอาร์เอส 5,800 ล้านบาท เพราะได้รับอานิสงส์จากการมุ่งเน้นค้นคว้าวิจัยและพัฒนาสินค้าชูนวัตกรรมตามที่กล่าวข้างต้น"
ขณะที่ นายทรงพล ชัญมาตรกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีวี ไดเร็ค จำกัด (มหาชน) หรือ TVD กล่าวแสดงความคิดเห็นว่า ปัจจุบัน ธุรกิจทีวีโฮมช็อปปิ้งยังมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และบริษัทเชื่อว่า ทิศทางธุรกิจนี้ยังสามารถเติบโตได้อีกเมื่อเทียบกับประเทศเกาหลี จีน และญี่ปุ่น ขณะที่ ภายในสิ้นปีนี้บริษัทเชื่อว่าตลาดจะสามารถเติบโตได้กว่า 15% หรือมีมูลค่าตลาดที่ 1.35 หมื่นล้านบาท จากเดิมในปีก่อนมีมูลค่าที่ 1.1 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันยังคงมีผู้บริโภคที่รับชมทีวีดิจิตอลอีกเป็นจำนวนมาก ทำให้การเสนอขายสินค้าทางรายการโฮมช็อปปิ้งมีผลตอบรับที่ดี ดังนั้น การขายสินค้าที่ได้ผลในยุคนี้จึงไม่สามารถพึ่งพาช่องทางทีวี ช่องทางออนไลน์ หรือ ร้านค้า เพียงช่องทางใดช่องทางหนึ่ง แต่ต้องรุกทุกช่องทางไปพร้อมกัน
นอกจากนี้ ยังพบว่าผู้ประกอบการทีวีดิจิตอลหลายรายให้ความสนใจที่จะโดดเข้าสู่สนามโฮมช็อปปิ้ง ด้วยเพราะมีสื่ออยู่ในมือ หนึ่งในนั้นคือ บริษัท โมโน บรอดคาซท์ จำกัด ผู้บริหารช่อง MONO 29 ซึ่งได้ทดลองนำสินค้ามาขายผ่านช่องโมโน 29 ในช่วงที่ผ่านมา พบว่า ได้รับการตอบรับที่ดี โดยมีการขายสินค้า 2-4 นาที มียอดรายได้เข้ามากว่าแสนบาทและมีแนวโน้มที่ดีขึ้น ทำให้มีแผนที่จะเพิ่มไลน์สินค้า และขยายช่วงเวลาการขายให้มากขึ้น ซึ่งในอนาคตคาดว่ารายได้จากโฮมช็อปปิ้งสามารถขึ้นมาเป็นรายได้อันดับ 2 รองจากรายได้โฆษณา
หน้า 36 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ | ฉบับ 3,408 ระหว่างวันที่ 11-13 ตุลาคม 2561
