ศิริราช เผย10สาเหตุโรคลมพิษที่ควรรู้

08 ต.ค. 2561 | 10:35 น.
เป็นที่ทราบกันดีว่า “โรคลมพิษ” อาจมีทั้งสามารถทราบสาเหตุของโรคได้อย่างแน่นอน และในบางรายก็ไม่อาจทราบสาเหตุได้ โดยอาจแปรผันไปตามสภาพร่างกาย สภาพแวดล้อมและการดำเนินชีวิตของแต่ละบุคคล อีกทั้งสภาวะอากาศที่แปรเปลี่ยนอย่างกะทันหันในยุคปัจบันก็อาจเป็นอีกปัจจัยเร่งที่ทำให้เกิดความรุนแรงของ “โรคลมพิษ” ได้เช่นกัน ดังนั้นการมีความรู้และความเข้าใจอย่างถูกต้อง จึงเป็นพื้นฐานสำคัญของการเริ่มต้นสังเกตตนเองและบุคคลใกล้ชิด

ศ.พญ.กนกวลัย กุลทนันทน์ หัวหน้าภาควิชาตจวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล กล่าวว่า สืบเนื่องจากวันที่ 1 ตุลาคมของทุกปีเป็นวันโรคลมพิษโลก โรงพยาบาลศิริราชจึงได้ให้ความรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องความรู้เกี่ยวกับโรคลมพิษและยา รวมถึงการทดสอบต่างๆ เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยไม่ต้องทรมานกับอาการผื่นคัน ที่อาจผลต่อบุคลิกภาพของผู้ป่วย รวมถึงการดำเนินชีวิตประจำวันอีกด้วย
sij1 โรคลมพิษ (Urticaria) เป็นอาการทางผิวหนังที่มีลักษณะเป็นผื่นหรือปื้นนูนแดง ไม่มีขุย มีขนาดตั้งแต่ 0.5 - 10 ซม. มักกระจายตามร่างกายอย่างรวดเร็ว และทำให้ผู้ป่วยมีอาการคันตามบริเวณที่มีผื่นขึ้น โดยทั่วไปแต่ละผื่นจะอยู่ไม่เกิน 24 ชั่วโมง แล้วผื่นนั้นก็จะราบไปโดยไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ แต่ก็อาจมีผื่นใหม่ขึ้นที่อื่น ๆ ของร่างกายได้อีกเช่นกัน ทั้งนี้สามารถแบ่งชนิดของโรคลมพิษเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ โรคลมพิษเฉียบพลัน (Acute Urticaria) ผื่นลมพิษที่จะเกิดขึ้นตามร่างกายในระยะเวลาติดต่อกันไม่เกิน 6 สัปดาห์ และ โรคลมพิษเรื้อรัง (Chronic Urticaria) ผื่นลมพิษที่จะมีอาการเป็นๆ หายๆ อย่างต่อเนื่องนานเกินกว่า 6 สัปดาห์ขึ้นไป จากข้อมูลทางสถิติของผู้ป่วยโรคลมพิษเรื้อรังในประเทศไทย ซึ่งเข้ารับการรักษาตัวที่คลินิกโรคลมพิษ ภาควิชาตจวิทยา โรงพยาบาลศิริราช พบว่า ในกลุ่มของผู้ป่วยที่มาพบแพทย์ด้วยโรคลมพิษเรื้อรัง ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 35 ปี ซึ่งตลอดช่วงชีวิตของคนทั่วไปจะมีโอกาสเกิดโรคลมพิษเรื้อรังได้ประมาณร้อยละ 0.5 - 1

โรคลมพิษมักจะส่งผลให้ผู้ป่วยมีความกังวลต่อการดำเนินชีวิตตลอดเวลา ดังนั้นการหมั่นสังเกตตนเองและคนใกล้ชิดที่อาจอยู่ในกลุ่มเสี่ยงก็นับเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เนื่องจากผู้ป่วยลมพิษจำนวนมากอาจจะไม่สามารถหาสาเหตุได้อย่าง แน่ชัด ดังนั้น การมีความรู้เบื้องต้นว่าสาเหตุของโรคลมพิษมาจากสาเหตุใดได้บ้าง จึงนับเป็นอีกทางเลือกที่ดีในการเลี่ยงภาวะที่อาจกระตุ้นให้ผื่นที่มีอยู่มีอาการมากขึ้น หรือช่วยให้การวินิจฉัยของแพทย์สามารถทำได้ง่ายขึ้น ดังเช่น

sij2

1. อาหาร เช่น อาหารทะเล สารกันบูด สีผสมอาหารบางชนิด
2. ยา ปฏิกิริยาการแพ้ยาบางชนิดอาจทำให้เกิดผื่นลมพิษได้
3. การติดเชื้อ การติดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย เชื้อรา หรือมีพยาธิ อาจเป็นสาเหตุของลมพิษได้
4. โรคระบบต่อมไร้ท่อ เช่น โรคต่อมไทรอยด์
5. อิทธิพลทางกายภาพ ในผู้ป่วยบางราย ผื่นลมพิษอาจเป็นผลจากปฏิกริยาของผิวหนังที่ตอบสนองผิดปกติต่อความร้อน ความเย็น น้ำหนักกดรัด แสงแดด การออกกำลังกาย เป็นต้น

6. การแพ้สารที่สัมผัส ผื่นลมพิษเกิดขึ้นในตำแหน่งที่ผิวหนังสัมผัสกับสารที่แพ้ เช่น การแพ้ยาง (Iatex) ขนสัตว์ พืช หรืออาหารบางชนิด เป็นต้น
7. ปฏิกิริยาแพ้พิษแมลง เช่น ปฏิกิริยาที่เกิดจากผึ้ง ต่อต่อย
8. มะเร็ง เช่น มะเร็งต่อมน้ำเหลือง หรือระบบอื่น ๆ ของร่างกาย
9. ระบบภูมิคุ้มกันต่อต้านตัวเอง ผู้ป่วยลมพิษบางรายเกิดจากมีภูมิคุ้มกันไปกระตุ้นให้เกิดการหลั่งสารเคมีบางชนิดออกมาที่ผิวหนัง ทำให้เกิดผื่นลมพิษขึ้น
10. สาเหตุอื่นๆ เช่น ผู้ป่วยโรคลูปัสหรือ ผู้ป่วยโรคเส้นเลือดอักเสบบางรายอาจมีผื่นลมพิษแต่มีข้อสังเกต คือ แต่ละผื่นอยู่นานมักเกิน 24 ชั่วโมง และเมื่อผื่นหายไปมักจะทิ้งรอยดำเอาไว้

sij3

“สำหรับแนวทางการรักษาโรคลมพิษในกรณีที่สามารถสืบค้นจนทราบสาเหตุและแก้ไขสาเหตุได้ เมื่อรับประทานยาต้านฮิสตามีนไปแล้วผื่นลมพิษมักหายได้เร็ว แต่หากหาสาเหตุไม่พบหรือเป็นสาเหตุที่แก้ไขไม่ได้โดยง่าย แพทย์จำเป็นต้องให้ยาตั้งแต่ 1 ชนิดขึ้นไปเพื่อควบคุมอาการผื่นลมพิษให้สงบลงได้ ทั้งนี้ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการเรื้อรังนานเป็นปีซึ่งในปัจจุบันมีทางเลือกในการรักษาที่มากขึ้นทั้งยารับประทานและยาฉีด เพื่อช่วยบรรเทาอาการและช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้”

ศ.พญ.กนกวลัย กล่าวเพิ่มเติมว่านอกจากนี้ วิธีการทดสอบผิวหนังในโรคลมพิษ 4 วิธี ประกอบด้วย 1. การทดสอบภูมิแพ้ผิวหนังโดยวิธีสะกิด (Skin Prick Test) 2. การทดสอบภูมิแพ้ผิวหนังโดยวิธีฉีดซีรั่ม (Autologous Serum Skin Test) 3. การทดสอบผื่นลมพิษจากการขีดข่วนและน้ำหนักกดทับ และ4. การทดสอบผื่นลมพิษจากความเย็น (Cold provocation Test)

e-book-1-503x62-7