เครือข่ายสุขภาพภาคใต้ ปักธงค้าน! แก้ "พ.ร.บ.สสส."

07 ต.ค. 2561 | 09:59 น.
เครือข่ายสุขภาพภาคใต้ เรียกร้องให้ยุติแก้ "พ.ร.บ.สสส." ชี้ไม่มีความชอบธรรมใด ๆ ที่จะแก้ให้ถอยหลังลงคลอง  ปลายทางแย่กว่าเดิม ติงตัดแข้งตัดขาหน่วยงานที่ช่วยทำงานด้านสุขภาพ เตรียมบุกกระทรวงคลัง-สธ. ตามหาไอ้โม่ง

นายเจกะพันธ์ พรหมมงคล เครือข่ายลดปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพภาคใต้ เปิดเผยว่า เครือข่ายที่ทำงานด้านสุขภาพภาคประชาชนภาคใต้ กำลังเตรียมเคลื่อนไหวเรียกร้องให้ยุติการแก้พระราชบัญญัติกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ กฎหมาย สสส. เพราะเห็นว่าการแก้กฎหมายดังกล่าวจะส่งผลให้แย่กว่าเดิม ทั้งความยุ่งยากในการเบิกจ่ายงบประมาณ ที่เดิมใช้กลไกของกรรมการบอร์ด ซึ่งนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และมีผู้แทนแทบทุกกระทรวงอยู่ในบอร์ด สสส. อยู่แล้ว รวมถึงกระทรวงการคลัง แต่กลับมีความพยายามให้นำกรอบการใช้จ่ายงบประมาณที่บอร์ดอนุมัติแล้ว ไปขอความเห็นชอบกับกระทรวงการคลังอีก ซึ่งน่ากังวลว่า ถ้าล้วงลูกกันได้ขนาดนี้ ต่อไปขั้นตอนการจัดซื้อ ค่าตอบแทน การเบิกจ่ายงบประมาณต่าง ๆ ก็คงต้องกลับไปเป็นระบบราชการที่ไม่คล่องตัว ขัดแย้งอย่างรุนแรงกับเจตนารมณ์ในการจัดตั้ง สสส. ขึ้นมา ที่มุ่งเน้นความเป็นอิสระ ปิดช่องว่างการบริหารจัดการที่เยิ่นเย้อในระบบราชการ เพื่อลดปัญหาล่าช้า

 

[caption id="attachment_329493" align="aligncenter" width="503"] นายเจกะพันธ์ พรหมมงคล นายเจกะพันธ์ พรหมมงคล[/caption]

รวมไปถึงการจำกัดเพดานวงเงินไว้ที่ 4 พันล้าน ซึ่งไม่สมควรอย่างยิ่ง เพราะปัจจุบันรัฐต้องใช้งบประมาณเพื่อการรักษาโรค มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น ๆ จนหางบไม่ทันแล้ว ขณะที่ ทั่วโลกหันไปป้องกันโรค เพราะตระหนักว่าการสร้างสุขภาพสำคัญกว่าการซ่อมหรือรักษา แต่กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงการคลังกลับมาตัดงบสร้างสุขภาพ ที่มีน้อยอยู่แล้ว ไม่ถึง3 % ของงบประมาณในการรักษา (กองทุนบัตรทองปี 62 = 1.67 แสนล้านบาท) ซึ่งสวนทางกับแนวทาง WHO ที่ให้ความสำคัญการสร้างสุขภาพมากกว่าการซ่อม การปัองกันและส่งเสริมต้องเท่าทันกับปัญหา เป็นหน้าที่หลักของ สสส. อยู่แล้ว ไม่มีใครอธิบายได้เลยว่า ทำไมต้องจำกัดวงเงินไว้แบบนี้ มีฐานทางวิชาการอะไรมาอธิบายตรงนี้ได้

"ผมไม่เข้าใจว่า กระทรวงสาธารณสุข เหตุใดถึงตัดแข้งตัดขาหน่วยงานที่เข้ามาช่วยเหลืองานตนเอง ทั้งที่เป็นการช่วยกันทำงานอุดช่องว่างที่ สธ. ไม่สามารถไปถึงได้ ในการสร้างการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปในเชิงคุณภาพ ซึ่งนี้คือ เจตนารมที่จะทำให้คนไทยมีคุณภาพดี สร้างนำซ่อม แทนที่จะปล่อยให้ระบบราชการแบกรับ ซึ่งขณะนี้ผู้ป่วยก็ล้นโรงพยาบาลอยู่แล้ว และหากแก้กฎหมายให้การทำงานของ สสส. เข้าใกล้ระบบราชการมากขึ้นทุกที ๆ ไม่เป็นผลดีอะไรเลย มีแต่จะล้าหลังลงคลอง สถานการณ์การรักษาพยาบาลก็จะยิ่งรุนแรงกว่าเดิม และรัฐจะต้องจ่ายงบประมาณเพิ่มมากขึ้นอีกเรื่อย ๆ ในอนาคต และเร็ว ๆ นี้ จะส่งตัวแทนไปเยือนกระทรวงการคลังและสาธารณสุข เพื่อแสดงจุดยืนและตามหาที่อยู่เบื้องหลังการบอนไซภาคประชาชน" นายเจกะพันธ์ ระบุ

นางพิชยา แก้วขาว เครือข่ายชุมชนสงขลา กล่าวว่า สิ่งที่ผ่านมาในการผลิตงานของ สสส. คือ มีอาสาสมัครมากมาย ที่เข้ามาส่งเสริมหลักการสร้างนำซ่อม ซึ่งรัฐบาลต้องพิจารณาว่า หากวงเงินจำกัด 4 พันล้าน จะเพียงพอที่จะขับเคลื่อนไปสู่การทำให้สังคมเปลี่ยนแปลงเพื่อสร้างแทนซ่อมได้จริงหรือ ฐานคิดนี้มาจากไหน แต่เมื่อจะแก้กฎหมาย ควรต้องแก้ให้ดีกว่าเดิม ไม่ใช่แย่ลง ๆ ขัดกับหลักการก่อเกิด สสส. การพยายามขับเคลื่อน 10 กว่าปีที่ผ่านมา กลับไปสู่ระบบราชการ ขาดความชอบธรรมอย่างสิ้นเชิง ซึ่งข้อสรุปแล้วว่า กระทรวงสาธารณสุขเองไม่สามารถทำงานป้องกันได้เพียงพอ แต่ขณะนี้สังคมเดินมาไกล แทบจะก้าวหน้าที่สุดในโลกในการดูแลสุขภาพทั้งป้องกันและรักษา ฉะนั้นยิ่งต้องเดินหน้าทำงานส่งเสริมก้าวหน้าให้ยิ่งไปกว่าเดิม

 

[caption id="attachment_329495" align="aligncenter" width="337"] นางพิชยา แก้วขาว นางพิชยา แก้วขาว[/caption]

"การอ้างเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน ไม่ใช่มาแก้กฎหมายแม่ เพราะทราบว่า สสส. เองก็แก้ไขกฎหมายลูกไปหลาย 10 ฉบับแล้ว เพื่อปิดช่องว่างตรงนั้น ปัญหาบางอย่างต้องมาแก้ที่การบริหารจัดการ ซึ่งต้องดูภาพรวม ไม่ใช่ข้ออ้างมายึดการจัดการการเงิน และตีกรอบเพดานไว้แค่ 4 พันล้าน บอนไซไม่ให้ประชาชนเติบโต ทั้งที่ประชาชนลุกขึ้นมาดูแลสุขภาพเป็นการสร้างความเข้มแข้งของประเทศอย่างหนึ่ง"

595959859