สนค.ชี้ราคาน้ำมันพุ่งเกิดจากเก็งกำไรสหรัฐคว่ำบาตรอิหร่านเชื่อดันส่งออกโต9%
สนค.ชี้ราคาน้ำมันพุ่งเกิดจากการเก็งกำไรและสหรัฐคว่ำบาตรอิหร่าน แต่เชื่อว่าส่งผลดีต่อสินค้าที่เกี่ยวกับน้ำมันซึ่งจะช่วยดันให้ส่งออกไทยขยายตัว9%
นางสาวพิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กล่าวถึง ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นในขณะนี้ว่า เกิดจากการเก็งกำไรและผลต่อเนื่องจากการคว่ำบาตรอิหร่านเป็นหลัก โดยคาดว่าราคาน้ำมันจะสูงกว่าตัวเลขที่สนค. ใช้ในการประมาณการณ์การส่งออกและเงินเฟ้อที่ระดับ 65-75 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาเรล โดยอาจจะขึ้นมาที่ 80-90 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาเรล แต่จะไม่สูงถึง 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาเรล เพราะสหรัฐฯมีท่าทีที่จะหาความร่วมมือกับประเทศผู้ผลิตน้ำมัน เพื่อหลีกเลี่ยงราคาน้ำมันที่สูงเกินไป อีกทั้งกลุ่มประเทศโอเปคอาจจะมีมาตรการเพิ่มเติม เช่น การผลิตทดแทนน้ำมันของอิหร่าน นอกจากนี้ เศรษฐกิจโลกมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องแต่ไม่ร้อนแรง ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันไม่เร่งตัวมากนัก
ทั้งนี้ จากการคำนวณของสนค. หากราคาน้ำมันขึ้นมาอยู่ที่ 80-90 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาเรล ใน 4 เดือนที่เหลือของปี 2561 (ช่วง 8 เดือนแรก ราคาน้ำมันเฉลี่ยอยู่ที่ 69 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาเรล) จะทำให้ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น 38- 56 % จากปีก่อน ซึ่งจะทำให้การส่งออกสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมันขยายตัว 26-36 % และส่งผลต่อการส่งออกรวมประมาณ2.6-3.6% ซึ่งจะสนับสนุนการส่งออกตามเป้าหมายที่ 9%ได้ง่ายขึ้น
สำหรับผลต่อเงินเฟ้อหรือราคาผู้บริโภคนั้น สนค. ได้ตั้งประมาณการเงินเฟ้อไว้ที่ 0.8-1.6% ซึ่งแม้ว่าราคาน้ำมันจะขึ้นมาที่ระหว่าง 80-90 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาเรล ก็จะยังไม่ทำให้หลุดกรอบนี้ อย่างไรก็ตาม อาจจะส่งผลให้ค่ากลางที่ร้อยละ 1.25 สูงขึ้นบ้าง แต่ยังไม่ชัดเจนว่าจะขึ้นเท่าใด เพราะช่วงปลายปีจะมีสินค้าเกษตรออกสู่ตลาดมากขึ้น ซึ่งอาจจะส่งผลให้ราคาลดลง (ต้นทุนลด) ยกเว้นยางพาราที่ปกติจะราคาสูงขึ้นตามราคาน้ำมัน นอกจากนี้ ครม. ยังไม่เห็นชอบให้ขึ้นภาษีสรรพสามิตยาสูบ จึงยังไม่มีแรงกดดันให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นในส่วนของบุหรี่
“สหรัฐฯน่าจะเพิ่มแรงกดดันประเทศผู้ผลิตต่างๆเพื่อหามาตรการดึงราคาน้ำมันให้ลงเพราะสหรัฐไม่ต้องการให้ราคาน้ำมันแพงเกินไป เพราะจะกระทบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ โดยล่าสุดซาอุดิอาระเบียเริ่มให้ข่าวแล้วว่า พร้อมจะสร้างเสถียรภาพให้กับตลาดน้ำมันโลก โดยอาจจะเพิ่มกำลังการผลิตในเดือน พ.ย. นี้”
นางสาวพิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กล่าวถึง ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นในขณะนี้ว่า เกิดจากการเก็งกำไรและผลต่อเนื่องจากการคว่ำบาตรอิหร่านเป็นหลัก โดยคาดว่าราคาน้ำมันจะสูงกว่าตัวเลขที่สนค. ใช้ในการประมาณการณ์การส่งออกและเงินเฟ้อที่ระดับ 65-75 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาเรล โดยอาจจะขึ้นมาที่ 80-90 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาเรล แต่จะไม่สูงถึง 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาเรล เพราะสหรัฐฯมีท่าทีที่จะหาความร่วมมือกับประเทศผู้ผลิตน้ำมัน เพื่อหลีกเลี่ยงราคาน้ำมันที่สูงเกินไป อีกทั้งกลุ่มประเทศโอเปคอาจจะมีมาตรการเพิ่มเติม เช่น การผลิตทดแทนน้ำมันของอิหร่าน นอกจากนี้ เศรษฐกิจโลกมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องแต่ไม่ร้อนแรง ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันไม่เร่งตัวมากนัก
ทั้งนี้ จากการคำนวณของสนค. หากราคาน้ำมันขึ้นมาอยู่ที่ 80-90 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาเรล ใน 4 เดือนที่เหลือของปี 2561 (ช่วง 8 เดือนแรก ราคาน้ำมันเฉลี่ยอยู่ที่ 69 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาเรล) จะทำให้ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น 38- 56 % จากปีก่อน ซึ่งจะทำให้การส่งออกสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมันขยายตัว 26-36 % และส่งผลต่อการส่งออกรวมประมาณ2.6-3.6% ซึ่งจะสนับสนุนการส่งออกตามเป้าหมายที่ 9%ได้ง่ายขึ้น
สำหรับผลต่อเงินเฟ้อหรือราคาผู้บริโภคนั้น สนค. ได้ตั้งประมาณการเงินเฟ้อไว้ที่ 0.8-1.6% ซึ่งแม้ว่าราคาน้ำมันจะขึ้นมาที่ระหว่าง 80-90 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาเรล ก็จะยังไม่ทำให้หลุดกรอบนี้ อย่างไรก็ตาม อาจจะส่งผลให้ค่ากลางที่ร้อยละ 1.25 สูงขึ้นบ้าง แต่ยังไม่ชัดเจนว่าจะขึ้นเท่าใด เพราะช่วงปลายปีจะมีสินค้าเกษตรออกสู่ตลาดมากขึ้น ซึ่งอาจจะส่งผลให้ราคาลดลง (ต้นทุนลด) ยกเว้นยางพาราที่ปกติจะราคาสูงขึ้นตามราคาน้ำมัน นอกจากนี้ ครม. ยังไม่เห็นชอบให้ขึ้นภาษีสรรพสามิตยาสูบ จึงยังไม่มีแรงกดดันให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นในส่วนของบุหรี่
“สหรัฐฯน่าจะเพิ่มแรงกดดันประเทศผู้ผลิตต่างๆเพื่อหามาตรการดึงราคาน้ำมันให้ลงเพราะสหรัฐไม่ต้องการให้ราคาน้ำมันแพงเกินไป เพราะจะกระทบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ โดยล่าสุดซาอุดิอาระเบียเริ่มให้ข่าวแล้วว่า พร้อมจะสร้างเสถียรภาพให้กับตลาดน้ำมันโลก โดยอาจจะเพิ่มกำลังการผลิตในเดือน พ.ย. นี้”
