จากการเผชิญหน้าทางการค้าที่ยังไม่มีแนวโน้มจะคลี่คลาย โดยทั้งสหรัฐอเมริกาและจีนยังไม่สามารถกลับมาตั้งโต๊ะเจรจาการค้ากันได้ หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกาประกาศจะเดินหน้าขึ้นภาษีสินค้าจีนอีกระลอกในมูลค่ารวม 200,000 ล้านดอลลาร์หรืออาจจะมากกว่านั้นด้วยซํ้าหากจีนตอบกลับด้วยมาตรการภาษีเช่นกันและทำให้อุตสาหกรรมของสหรัฐฯต้องได้รับผลกระทบ สถานการณ์ดังกล่าวทำให้นักเศรษฐศาสตร์ออกมาประเมินถึงโอกาสและความเป็นไปได้ที่สภาวะการค้าโลกจะได้รับผลพวง พลอยกระทบไปด้วยหากสงครามการค้าครั้งนี้ยืดเยื้อยาวนานออกไป
ธนาคารเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค คาดการณ์ว่า มีความเป็นไปได้น้อยที่ทั้ง 2 ฝ่ายจะกลับมาเข้าสู่วิถีของการเจรจา เชื่อว่าการเผชิญหน้าจะเข้มข้นมากขึ้นโดยสหรัฐอเมริกาจะขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนทุกรายการ และสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ก็จะทำให้เงินหยวนของจีนค่าลดลงสู่ระดับตํ่าสุด (เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ) ในรอบกว่าทศวรรษที่ผ่านมา
จากสมมติฐานที่ว่า สหรัฐฯขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนทุกรายการในอัตรา 25% ในปีหน้า (2562) ผลกระทบอาจจะสะท้อนออกมาทางตัวเลขจีดีพีหรือตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจทั้งของสหรัฐฯและจีนไม่มากนัก ซึ่งในส่วนของจีนนั้น เป็นผลมาจากการที่รัฐบาลกำลังใช้ชุดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอยู่ และในสภาวะเช่นนั้น เงินหยวนที่อ่อนค่าลงจะเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างดุลยภาพใหม่ให้กับเศรษฐกิจจีน เจพีมอร์แกนวิเคราะห์ว่า ธนาคารกลางจีนอาจนำนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้นมาใช้เพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ และนั่นหมายถึงแนวโน้มการแทรกแซงตลาดน้อยลงด้วยเพื่อลดแรงกดดันต่อค่าเงินหยวน
รายงานของเจพีมอร์แกนคาดหมายว่า เงินหยวนจะอ่อนค่าลงสู่ระดับ 7.01 หยวนต่อดอลลาร์สหรัฐฯภายในสิ้นปีนี้
(สิ้นเดือนธันวาคม 2561) และน่าจะอ่อนลงต่อไปสู่ระดับ 7.19 ดอลลาร์ภายในเดือนกันยายนปีหน้า (2562) เป็นการปรับตัวเลขคาดการณ์จากที่เคยคาดไว้เดิมที่ 7.02 หยวนต่อดอลลาร์สหรัฐฯตลอดช่วง 12 เดือนของปีหน้า ปัจจุบัน อัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวนอยู่ที่ประมาณ 6.8725 หยวนต่อดอลลาร์สหรัฐฯ
การคาดการณ์ของเจพีมอร์แกน เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับการวิเคราะห์ของธนาคารดอยช์แบงก์ที่คาดว่า เงินหยวนจะอ่อนค่าลงสู่ระดับ 7.4 หยวนต่อดอลลาร์ในปี 2562 แต่ก็แตกต่างจากสำนักวิจัยบลูมเบิร์กที่คาดหมายว่า ค่าเงินหยวนน่าจะแข็งขึ้นมาสู่ระดับ 6.70 หยวนต่อดอลลาร์ในช่วงสิ้นปีหน้า
นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้นของจีน ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) กำลังอยู่ในช่วงของการปรับ ขึ้นดอกเบี้ยจะทำให้นักลงทุนพากันมองหาผลตอบแทนการลงทุนจากดอลลาร์สหรัฐฯมากกว่าเงินหยวนของจีน นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มว่า สกุลเงินของประเทศในเอเชียจะอ่อนค่าตามเงินหยวนของจีนด้วย แต่เงินเยนที่คาดว่าจะแข็งขึ้นจากประมาณ 114 เยนต่อดอลลาร์สหรัฐฯในขณะนี้ จะขยับค่าสูงขึ้นสู่ระดับ 111 เยนต่อดอลลาร์ในช่วงสิ้นปีนี้และน่าจะอยู่ที่ระดับ 109 เยนต่อดอลลาร์ในเดือนกันยายนปีหน้า ในฐานะทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าสำหรับนักลงทุน
นอกจากนี้ ในส่วนของตลาดหุ้น ยังเป็นที่คาดหมายว่าการเปิดศึกระหว่างจีนและสหรัฐฯด้วยกำแพงภาษีอย่างเต็มรูปแบบจะส่งแรงกดดันต่อราคาหุ้นและการทำกำไรในตลาดสหรัฐฯด้วยเช่นกันเนื่องจากบรรดาผู้ประกอบการมีต้นทุนที่สูงขึ้นจากภาษีนำเข้าสินค้าที่สูงขึ้นนั่นเอง
...........................................................................................
หน้า 10 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ | ฉบับ 3,406 ระหว่างวันที่ 4-6 ตุลาคม 2561