เจดีดอทคอม เผยตัวเลขซื้อขายสินค้าไทยในจีนเติบโตกว่า 5 เท่าตัว คาด 3-5 ปีข้างหน้ามียอดทะลุหลัก 1 แสนล้านบาท ขณะที่ “เจดีเซ็นทรัล” หนุนผู้ประกอบการไทยนำร่องสินค้าวางจำหน่ายแล้วหลักร้อยราย
เฉินช่าย หลิง
นายเฉินช่าย หลิง รองประธานฝ่ายกลยุทธ์องค์กรและการลงทุน ผู้อำนวยการเจดีดอทคอม อินเตอร์เนชั่นแนล เปิดเผยว่า ในปีที่ผ่านมาบริษัทมีปริมาณการซื้อขาย (transaction volume) ผ่านช่องทางอี-คอมเมิร์ซในจีนอยู่ที่ราว 4.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ข้อมูลจาก National Bureau of Statistics of China) โดยเป็นตัวเลขรวมของกิจกรรมอี-คอมเมิร์ซทุกรูปแบบรวมกัน ทั้ง B2B, B2C, C2C และบริการอื่นๆ ขณะที่สินค้าในประเทศ ไทยหลังจากจับมือเซ็นทรัลกรุ๊ปที่ผ่านมา สินค้าที่วางจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ของเจดีดอทคอมมียอดขายเติบโตเพิ่มขึ้น 5 เท่าตัว และภายใน 3-5 ปีนับจากนี้ บริษัทตั้งเป้ายอดขายสินค้าไทยกว่า 1 แสนล้านบาท
“จากการสำรวจข้อมูลสถิติพบว่าหมวดหมู่สินค้ายอดนิยมของประชากรปัจจุบัน แบ่งเป็น 6 ประเภท คือ อาหารและเครื่องดื่ม สิ่งทอที่ใช้ในบ้าน ผักผลไม้สด เฟอร์นิเจอร์ ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง และสินค้ากลุ่มความสวยงาม ขณะที่คำค้นหายอดนิยมในเจดีดอทคอม ได้แก่ ทุเรียน ที่นอน กุ้ง และอาหารแมว”
ด้านนายวินเซนต์ หยาง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เจดีเซ็นทรัล กล่าวว่า นับตั้งแต่มีการเปิดให้บริการตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา บริษัทได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้าชาวไทยโดยมียอดการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ผ่านแพลต ฟอร์มของบริษัทสูงกว่าที่คาดถึง 15 เท่า ซึ่งถือว่าเติบ โตแบบก้าวกระโดด สำหรับหมวดหมู่สินค้าที่ได้รับความนิยมประกอบไปด้วย โทรศัพท์มือถือ อาหาร ของใช้ภายในบ้าน และแฟชั่น
วินเซนต์ หยาง
พร้อมกันนี้ยังมีแผนที่เพิ่มจำนวนคลังสินค้าในประเทศไทยจากปัจจุบันที่มี 2 แห่ง ให้เป็น 5 แห่งภาย ในสิ้นปีนี้ โดยจะขยายเพิ่มในเขตพื้นที่ภาคใต้ เหนือ และ อีสาน นอกจากนี้ยังมีแผนนำเทคโนโลยีอีโลจิสติกส์อันทันสมัยมาใช้ในการจัดการคลังสินค้าและการจัดส่งสินค้าอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น หุ่น ยนต์อัจฉริยะจัดการคลังสินค้าอัตโนมัติ หรือยานยนต์ส่งสินค้าไร้คนขับที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อใช้ในสภาพแวดล้อมแบบเมืองที่มีความหนาแน่นสูง โดยมีแผนที่จะ นำเทคโนโลยีดังกล่าวมา ทดสอบใช้ในประเทศไทยผ่าน โปรแกรมนำร่องในปี 2562
โชดก พิจารณ์จิตร
นายโชดก พิจารณ์จิตร ประธานบริหารฝ่ายบริหารสินค้า เจดีเซ็นทรัล กล่าวว่า ความร่วมมือดังกล่าว ยังถือเป็นโอกาสดีในการสนับสนุนผู้ประกอบการของไทยทั้งขนาดกลาง และรายย่อยทั่วไปได้มีโอกาสในการนำสินค้าไปจำหน่ายในประเทศจีนผ่านช่องทางอี-คอมเมิร์ชของบริษัท ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการเซตอัพทีมงานขึ้นมาดูแลในส่วนนี้โดยเฉพาะ และได้มีการนำสินค้าจากไทยไปจำหน่ายในจีนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เบื้องต้นสามารถรวบรวมผู้ประกอบการไทยในการนำสินค้าไปจำหน่ายได้หลายร้อยราย โดยในอนาคตเป้าหมายในการสนับสนุนการนำสินค้าที่มีคุณภาพจากประเทศไทยไปจำหน่ายในจีนผ่านช่องทางอี-คอมเมิร์ช และการสร้างผู้ประกอบการรายย่อยของไทยให้เติบโตไปพร้อมๆ กันกับบริษัท
......................................................................................................................
หน้า 36 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ | ฉบับ 3,405 ระหว่างวันที่ 30 กันยายน - 3 ตุลาคม 2561