‘เจมาร์ท’ เลือกข้าง ‘AIS’ 240 สาขาเลิกขายสินค้า‘ทรูมูฟ-ดีแทค’
“เจมาร์ท” เชนสโตร์มือถือรายใหญ่ ตัดสัมพันธ์ “ทรูมูฟ เอช-ดีแทค” ยกเลิกจดทะเบียนและจำหน่าย “ซิมการ์ด” ผ่านช่องทาง 240 สาขาทั่วประเทศ ประกาศจับมือ “เอไอเอส” รายเดียว
นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจมาร์ท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ในวันที่ 1 ตุลาคม 2561 เป็นต้นไป บริษัทจะยกเลิกจดทะเบียนและจัดจำหน่าย “ซิมการ์ด” โทรศัพท์เคลื่อนที่ให้กับผู้ประกอบการ 2 ราย คือ ดีแทค หรือ บริษัทโทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) และ ทรูมูฟ เอช ในกลุ่มทรู แต่จะรับจดทะเบียนและจำหน่าย “ซิมการ์ด” ให้กับ เอไอเอส หรือ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) เพียงรายเดียว
“ในอดีตเรารับจดทะเบียนและขายซิมการ์ดให้กับค่ายมือถือทุกค่าย แต่นับจากวันที่ 1 ตุลาคมเป็นต้นไป เราจะไม่มี ทรูมูฟ เอช กับ ดีแทค ขายในร้านเจมาร์ท อีกต่อไป”
เหตุผลที่บริษัทเลือกเป็นพันธมิตรกับ เอไอเอส เพียงรายเดียว เนื่องจากว่า เอไอเอสให้การสนับสนุน และผู้บริโภคก็จะได้ข้อเสนอทีดีขึ้นเช่นเดียวกัน
ขณะที่สาขาเจมาร์ท โมบาย จะเปิดใหม่ในปีนี้ 60 สาขา ซึ่งช่วงที่ผ่านมาเปิดไปแล้ว 20 สาขา และคาดว่าทั้งปีจะมีสาขารวมเป็น 240 สาขา
สำหรับผลประกอบการของ เจมาร์ท ในไตรมาส 2/2561 มีกำไรสุทธิ 44.5 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาส 2 ปี 2560 เท่ากับ 103.6 ล้านบาท หรือลดลง 69.9% ทั้งนี้ ผลการดำเนินการของบริษัทและบริษัทย่อย งบการเงินรวม งวด 6 เดือน ปี 2561 บริษัทผลขาดทุนสุทธิ 142.7 ล้านบาท ลดลงจาก งวด 6 เดือน ปี 2560 154.2%
ขณะที่ภาพรวมโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั้งอุตสาหกรรมคาดว่าปีนี้เติบโตไม่ถึง 15% หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 18 ล้านเครื่องจากช่วงครึ่งปีแรกติดลบ 4-5% แต่เชื่อว่าตลอดทั้งปีอัตราการเติบโตจะต่อเนื่องจากการออกโทรศัพท์รุ่นเรือธง (Flagship) ในช่วงครึ่งปีหลัง
ด้านแหล่งข่าวจาก บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ดีแทค กล่าวว่า กรณีที่ เจมาร์ท ไปจับมือกับ เอไอเอส มีผล
กระทบต่อ ดีแทค แต่ไม่มากนัก กรณีนี้เหมือนกับ ทรูมูฟ เอช ไปจับ มือกับคอมเซเว่น และ บานาน่าไอที
อย่างไรก็ตาม ดีแทค มีแผนสำรองในเรื่องนี้เช่นเดียวกันโดยร่วมมือกับพันธมิตรทั้งโมเดิรน์เทรด ร้านค้ารายย่อย และ ศูนย์บริการ ดีแทค ที่ให้บริการอยู่ทั่วประเทศ เป็นต้น
ส่วนภาพรวมอุตสาหกรรมโทรศัพท์เคลื่อนที่ไตรมาสสุดท้ายมีสีสันมากขึ้น เพราะ ไอโฟนX รุ่นใหม่เข้ามาทำตลาดในประเทศไทย ส่งผลให้เกิดกำลังซื้อเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ
ด้านแหล่งข่าวจากวงการโทรศัพท์เคลื่อนที่ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า เจมาร์ท เลือก เอไอเอส เป็นพันธมิตรเพียงรายเดียวเหตุผลหลักๆ ก็คือเรื่องของการสนับสนุนทางธุรกิจ เพราะที่ผ่านมาโอเปอเรเตอร์บางรายไม่ให้การสนับสนุนเท่าใดนัก
“แฟรนไชส์บางรายร่วมทำธุรกิจกับโอเปอเรเตอร์ตั้งแต่ต้น พอบริษัทเกิดปัญหาก็ขอให้เจ้าของกิจการสนับสนุน สุดท้ายธุรกิจเริ่มดี นโยบายเริ่มเปลี่ยนเลิกการสนับสนุน เชื่อว่าน่าจะเป็นผลที่เจมาร์ทตัดสินใจเป็นพันธมิตรกับ เอไอเอส”
แหล่งข่าวกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ภาพรวมของอุตสาหกรรมโทรศัพท์เคลื่อนที่ในขณะนี้ผู้ประกอบการรายเล็กอยู่ยาก เนื่องจากโทรศัพท์เคลื่อนที่รุ่นใหม่ออกมาจำหน่ายมากขึ้น สินค้าเปลี่ยน แปลงอย่างรวมดเร็วทำให้การจำหน่ายสินค้าได้ยากขึ้น
อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้ บริษัท คอมเซเว่น จำกัด (มหาชน) หรือ COM7 ได้จับมือกับบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE เป็นพันธมิตรทางธุรกิจร่วมกันเป็นระยะเวลา 3 ปี เพื่อร่วมกันบริหารจัดการการขายสินค้าและการให้บริการในจุดให้บริการลูกค้าทรู จำนวน 166 แห่ง ทั้งในห้างบิ๊กซี และห้างเทสโก้ โลตัส ทั่วประเทศ จากจำนวนจุดให้บริการของทรูที่มีอยู่ทั่วประเทศกว่า 500 แห่ง
สำหรับความร่วมมือกันในครั้งนี้ เพื่อต้องการให้ร้านค้าของทั้ง 2 ฝ่ายเป็น Digital Service Provider ที่ตอบโจทย์ด้าน IT Solution ครบวงจร มุ่งเน้นสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับลูกค้า โดยทางบริษัทได้นำมาตรฐานการให้บริการที่ดีของทรูมาบูรณาการ เพื่อยกระดับมาตรฐานการให้บริการให้ดียิ่งขึ้น และมอบความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้า นอกจากการให้บริการแล้วทางทรูยังมี Content อื่นๆ ที่หลากหลายเพื่อเป็นการเพิ่มการบริการให้แก่ลูกค้าอีกด้วย
ทั้งนี้ ระยะเวลาสัญญาอยู่ที่ 3 ปี และจะมีการประเมินผลงานตามที่กำหนดในสัญญา โดยบริษัทจะได้รับค่าตอบแทนใน 3 ส่วนคือ 1.ค่าตอบแทนจากขายฮาร์ดแวร์ ซึ่งแบ่งเป็นการจำหน่ายมือถือและแท็บเลต และจากการหน่ายอุปกรณ์สำหรับมือถือและแท็บเล็ต 2.จะได้รับค่าตอบแทนจากการขายสินค้าทรูมูฟ เอช ทรูออนไลน์ และทรูวิชั่นส์ เช่น การจำหน่ายซิม และ 3.ค่าบริการในด้านอื่นๆ
หน้า 20 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ | ฉบับ 3,405 ระหว่างวันที่ 30 กันยายน - 3 ตุลาคม 2561
นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจมาร์ท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ในวันที่ 1 ตุลาคม 2561 เป็นต้นไป บริษัทจะยกเลิกจดทะเบียนและจัดจำหน่าย “ซิมการ์ด” โทรศัพท์เคลื่อนที่ให้กับผู้ประกอบการ 2 ราย คือ ดีแทค หรือ บริษัทโทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) และ ทรูมูฟ เอช ในกลุ่มทรู แต่จะรับจดทะเบียนและจำหน่าย “ซิมการ์ด” ให้กับ เอไอเอส หรือ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) เพียงรายเดียว
“ในอดีตเรารับจดทะเบียนและขายซิมการ์ดให้กับค่ายมือถือทุกค่าย แต่นับจากวันที่ 1 ตุลาคมเป็นต้นไป เราจะไม่มี ทรูมูฟ เอช กับ ดีแทค ขายในร้านเจมาร์ท อีกต่อไป”
เหตุผลที่บริษัทเลือกเป็นพันธมิตรกับ เอไอเอส เพียงรายเดียว เนื่องจากว่า เอไอเอสให้การสนับสนุน และผู้บริโภคก็จะได้ข้อเสนอทีดีขึ้นเช่นเดียวกัน
ขณะที่สาขาเจมาร์ท โมบาย จะเปิดใหม่ในปีนี้ 60 สาขา ซึ่งช่วงที่ผ่านมาเปิดไปแล้ว 20 สาขา และคาดว่าทั้งปีจะมีสาขารวมเป็น 240 สาขา
สำหรับผลประกอบการของ เจมาร์ท ในไตรมาส 2/2561 มีกำไรสุทธิ 44.5 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาส 2 ปี 2560 เท่ากับ 103.6 ล้านบาท หรือลดลง 69.9% ทั้งนี้ ผลการดำเนินการของบริษัทและบริษัทย่อย งบการเงินรวม งวด 6 เดือน ปี 2561 บริษัทผลขาดทุนสุทธิ 142.7 ล้านบาท ลดลงจาก งวด 6 เดือน ปี 2560 154.2%
ขณะที่ภาพรวมโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั้งอุตสาหกรรมคาดว่าปีนี้เติบโตไม่ถึง 15% หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 18 ล้านเครื่องจากช่วงครึ่งปีแรกติดลบ 4-5% แต่เชื่อว่าตลอดทั้งปีอัตราการเติบโตจะต่อเนื่องจากการออกโทรศัพท์รุ่นเรือธง (Flagship) ในช่วงครึ่งปีหลัง
ด้านแหล่งข่าวจาก บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ดีแทค กล่าวว่า กรณีที่ เจมาร์ท ไปจับมือกับ เอไอเอส มีผล
กระทบต่อ ดีแทค แต่ไม่มากนัก กรณีนี้เหมือนกับ ทรูมูฟ เอช ไปจับ มือกับคอมเซเว่น และ บานาน่าไอที
อย่างไรก็ตาม ดีแทค มีแผนสำรองในเรื่องนี้เช่นเดียวกันโดยร่วมมือกับพันธมิตรทั้งโมเดิรน์เทรด ร้านค้ารายย่อย และ ศูนย์บริการ ดีแทค ที่ให้บริการอยู่ทั่วประเทศ เป็นต้น
ส่วนภาพรวมอุตสาหกรรมโทรศัพท์เคลื่อนที่ไตรมาสสุดท้ายมีสีสันมากขึ้น เพราะ ไอโฟนX รุ่นใหม่เข้ามาทำตลาดในประเทศไทย ส่งผลให้เกิดกำลังซื้อเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ
“แฟรนไชส์บางรายร่วมทำธุรกิจกับโอเปอเรเตอร์ตั้งแต่ต้น พอบริษัทเกิดปัญหาก็ขอให้เจ้าของกิจการสนับสนุน สุดท้ายธุรกิจเริ่มดี นโยบายเริ่มเปลี่ยนเลิกการสนับสนุน เชื่อว่าน่าจะเป็นผลที่เจมาร์ทตัดสินใจเป็นพันธมิตรกับ เอไอเอส”
แหล่งข่าวกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ภาพรวมของอุตสาหกรรมโทรศัพท์เคลื่อนที่ในขณะนี้ผู้ประกอบการรายเล็กอยู่ยาก เนื่องจากโทรศัพท์เคลื่อนที่รุ่นใหม่ออกมาจำหน่ายมากขึ้น สินค้าเปลี่ยน แปลงอย่างรวมดเร็วทำให้การจำหน่ายสินค้าได้ยากขึ้น
อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้ บริษัท คอมเซเว่น จำกัด (มหาชน) หรือ COM7 ได้จับมือกับบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE เป็นพันธมิตรทางธุรกิจร่วมกันเป็นระยะเวลา 3 ปี เพื่อร่วมกันบริหารจัดการการขายสินค้าและการให้บริการในจุดให้บริการลูกค้าทรู จำนวน 166 แห่ง ทั้งในห้างบิ๊กซี และห้างเทสโก้ โลตัส ทั่วประเทศ จากจำนวนจุดให้บริการของทรูที่มีอยู่ทั่วประเทศกว่า 500 แห่ง
สำหรับความร่วมมือกันในครั้งนี้ เพื่อต้องการให้ร้านค้าของทั้ง 2 ฝ่ายเป็น Digital Service Provider ที่ตอบโจทย์ด้าน IT Solution ครบวงจร มุ่งเน้นสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับลูกค้า โดยทางบริษัทได้นำมาตรฐานการให้บริการที่ดีของทรูมาบูรณาการ เพื่อยกระดับมาตรฐานการให้บริการให้ดียิ่งขึ้น และมอบความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้า นอกจากการให้บริการแล้วทางทรูยังมี Content อื่นๆ ที่หลากหลายเพื่อเป็นการเพิ่มการบริการให้แก่ลูกค้าอีกด้วย
ทั้งนี้ ระยะเวลาสัญญาอยู่ที่ 3 ปี และจะมีการประเมินผลงานตามที่กำหนดในสัญญา โดยบริษัทจะได้รับค่าตอบแทนใน 3 ส่วนคือ 1.ค่าตอบแทนจากขายฮาร์ดแวร์ ซึ่งแบ่งเป็นการจำหน่ายมือถือและแท็บเลต และจากการหน่ายอุปกรณ์สำหรับมือถือและแท็บเล็ต 2.จะได้รับค่าตอบแทนจากการขายสินค้าทรูมูฟ เอช ทรูออนไลน์ และทรูวิชั่นส์ เช่น การจำหน่ายซิม และ 3.ค่าบริการในด้านอื่นๆ
หน้า 20 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ | ฉบับ 3,405 ระหว่างวันที่ 30 กันยายน - 3 ตุลาคม 2561
