ทุนใหม่‘เค.ซี. พร็อพเพอร์ตี้’ ‘ของจริง’ หรือ ‘มันนี่ เกม’

24 ก.พ. 2559 | 13:30 น.
ยังมีเรื่องราวที่รอการพิสูจน์สำหรับกรณีของบริษัท เค.ซี. พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด(มหาชน)(บมจ.) (KC ) หลังเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นในรอบ 1 ปีเศษที่ผ่านมา ทั้งราคาหุ้นที่วิ่งขึ้นแรงก่อนการปิดดีลเทกโอเวอร์ จนกรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) "เกศรา มัญชุศรี " ประกาศปาว ๆว่าตลท.ได้ตรวจสอบการเคลื่อนไหวหุ้นKC อย่างใกล้ชิด

นอกจากนี้กลุ่มทุนใหม่มีแผนทำธุรกิจอย่างไร เพราะผ่านไป 1 ปี ยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ทั้ง ๆที่ได้ประกาศว่าจะยังเดินหน้าทำธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ขณะที่ตลท.ได้สั่งให้KC ชี้แจงข้อมูลอย่างต่อเนื่องทั้งการซื้อขายทรัพย์สินและเรื่องเงินกู้ยืมจากบุคคลอื่น

[caption id="attachment_33030" align="aligncenter" width="503"] ผู้ถือหุ้นใหญ่ KC ณ วันที่ 11 พฤษภาคม 2558 ผู้ถือหุ้นใหญ่ KC ณ วันที่ 11 พฤษภาคม 2558[/caption]

KC มีการเปลี่ยนมือผู้ถือหุ้นใหญ่เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2558 โดยนายชาย งามอัจฉริยะกุล กรรมการผู้จัดการและผู้ถือหุ้นใหญ่ KC รวมถึงผู้ถือหุ้นรายอื่น ได้ขายหุ้นรวม 58.76 % ในราคาหุ้นละ 2.61 บาท คิดเป็นมูลค่า 1.34 พันล้านบาท ผู้ซื้อคือ นายภัทรภพ อิทธิสัญญากร ขณะที่ล่าสุด ณ วันที่ 13 พฤศจิกายน นายภัทรภพ ได้ขายหุ้นออก 1.14 %ทำให้สัดส่วนการถือหุ้นลดลงเหลือ 39.5 %

ตามข้อมูลที่ KC แจ้งตลท.ช่วงเดือนมกราคม 2558 ระบุว่า นายภัทรภพ กลุ่มทุนและผู้ถือหุ้นใหญ่คนใหม่ของ KC เคยมีประสบการณ์ในด้านการทำธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มาก่อน โดยเป็นเจ้าของและผู้บริหารโครงการ ประเวสเพลส ซึ่งพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในลักษณะบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์เฮาส์ และปัจจุบัน( ณ ช่วงที่แจ้งข้อมูลต่อตลท.เดือนม.ค.58 ) นายภัทรภพดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ บริษัท จอยอัสไลฟ์ จำกัด ซึ่งประกอบกิจการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์

ขณะที่เมื่อเร็วๆนี้ได้มีจดหมายเปิดผนึกถึงกองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์หลายฉบับ ร้องเรียนพฤติกรรมการทุจริตของผู้บริหารKC พร้อมได้ส่งเอกสารประกอบ ซึ่งเป็นหนังสือ 2 ฉบับ จากตลท.ที่ส่งถึงกรรมการผู้จัดการ KC คือ ฉบับวันที่ 8 มกราคม 2559 เพื่อให้ชี้แจง 2 เรื่อง เรื่องแรก การจ่ายเงินมัดจำค่าที่ดิน 133.50 ล้านบาท เพื่อซื้อที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมูลค่า 442 ล้านบาท เรื่องที่ 2 เงินกู้ยืมระยะสั้นจากบุคคลอื่นจำนวน 57.52 ล้านบาท

และฉบับลงวันที่ 18 กันยายน 2558 ตลท.ได้สั่งให้ KCชี้แจง 2 เรื่อง เรื่องแรก การทำสัญญาขายที่ดินหลายแปลงในโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ มูลค่ารวม 38.60 ล้านบาท กับบริษัทแห่งหนึ่ง และกำหนดราคาขายที่ต่ำกว่าราคาประเมินของกรมที่ดิน เรื่องที่ 2 เงินกู้ยืมระยะสั้นและดอกเบี้ยค้างจ่ายแก่ผู้ถือหุ้น จำนวน 76.92 ล้านบาท

นอกจากนี้ได้มีจดหมายเปิดผนึกอีกฉบับที่แฉว่ากลุ่มทุนใหม่KC ที่ปรากฏชื่อเป็นผู้ถือหุ้นอยู่ปัจจุบันนั้นเป็นเพียงตัวแทน หรือนอมินี เท่านั้น ส่วนเจ้าของเงินตัวจริงคือ อีกคน ซึ่งมีความสนิทสนมกับ 2 อดีตนักการเมืองพรรคใหญ่แห่งหนึ่ง ในจดหมายเปิดผนึกยังระบุอีกว่า อดีตนักการเมืองใหญ่ ได้ล็อบบี้ไม่ให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)เอาผิด จนเป็นเหตุให้ผู้บริหารระดับสูงของก.ล.ต.ลาออก

อย่างไรก็ตามในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับก.ล.ต.นั้น"ฐานเศรษฐกิจ"ได้สอบถามไปยังก.ล.ต. ได้รับการชี้แจงว่า ก.ล.ต.มีระบบงานที่ยึดหลักความถูกต้องโปร่งใส และตรวจสอบได้ และในการพิจารณาแต่ละเรื่องจะมีระบบ Check and balance กระบวนการพิจารณาจะอยู่ในรูปแบบองค์คณะ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับบุคคลใดบุคคลหนึ่ง และจะพิจารณาจากเอกสารหลักฐานอย่างรัดกุมและเป็นกลาง

ส่วนเรื่องเงินกู้ยืมของ KC จากการตรวจสอบข้อมูลที่บริษัทดังกล่าวแจ้งตลท. ได้ระบุว่า เงินกู้ยืมระยะสั้นและดอกเบี้ยค้างจ่ายแก่ผู้ถือหุ้นจำนวน 76.92 ล้านบาท เป็นรายการที่เกิดขึ้นช่วงที่กลุ่ม"งามอัจฉริยะกุล"เป็นกรรมการบริหารและผู้บริหารของ KC ก่อนที่คณะกรรมการบริหารชุดปัจจุบันของบริษัทจะเข้ามาบริหาร และไม่ปรากฏเรื่องการกู้ยืมเงินในรายงานการประชุมของคณะกรรมการบริษัทในช่วงเวลาดังกล่าวแต่อย่างใด ทำให้กรรมการและผู้บริหารชุดปัจจุบันของบริษัทไม่มีข้อมูลเรื่องดังกล่าว จึงได้ทำหนังสือสอบถามเรื่องดังกล่าวกับนายชาย งามอัจฉริยะกุล อดีตกรรมการผู้จัดการและประธานกรรมการบริหาร ซึ่งเป็นผู้บริหารและกำกับดูแลบริษัทในขณะนั้น

สำหรับประเด็นการจ่ายเงินมัดจำค่าที่ดิน 133.50 ล้านบาท เพื่อซื้อที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมูลค่า 442 ล้านบาท ที่ตลท.สอบถามข้อมูลไปนั้น KC ชี้แจงว่า วันที่ 16 พฤศจิกายน 2558 KC ยกเลิกสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ทำกับบริษัทแห่งหนึ่งไปแล้ว เนื่องจากตรวจสอบพบว่าบริษัทคู่สัญญาไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ทั้งนี้ KC ได้ให้ทนายความทำหนังสือแจ้งยกเลิกสัญญาจะซื้อจะขายทั้ง 2 ฉบับ และเรียกคืนเงินมัดจำที่ KC ชำระแล้วจากบริษัทคู่สัญญา

นอกจากนี้ในจดหมายเปิดผนึกของกลุ่มที่ระบุว่าเป็นผู้ถือหุ้น KC ที่ลงทุนในหุ้นตัวนี้มาตั้งแต่สมัยนายอภิสิทธิ์ งามอัจฉริยะกุล เป็นผู้บริหารบริษัทจนเปลี่ยนมือผู้ถือหุ้นใหญ่ พบว่าระยะปีกว่าที่ผ่านมา KC ไม่มีโครงการใหม่ ๆใดๆเลย มีแต่การสร้างข่าวว่าจะเข้าไปลงทุนในประเทศกัมพูชา โดยซื้อกิจการอสังหาริมทรัพย์ รายใหญ่ของกัมพูชา ตลอดจนการลงทุนในธุรกิจพลังงานทดแทน ขณะที่ราคาหุ้น KC ในช่วง 1 ปีครึ่งเคยปรับขึ้นไปสูงสุดที่ 4.04 บาท (ล่าสุด ณ 18 ก.พ.59 ปิดที่ 2.00 บาท)

อย่างไรก็ตามแหล่งข่าวจากกลุ่มทุนใหม่ของ KC กล่าวว่า บริษัทเตรียมแถลงแผนธุรกิจหลังการประกาศงบการเงินประจำปี 2558 นอกจากนี้จะมีพันธมิตรใหม่เข้ามาถือหุ้น

เรื่องราวของ KC อาจกล่าวได้ว่า ยังมีเหตุการณ์ที่ต้องลุ้นระทึก โดยเฉพาะสำหรับผู้ถือหุ้นรายย่อยที่มีจำนวนไม่น้อยคือ 3,380 ราย (ข้อมูลผู้ถือหุ้น ณ 13 มี.ค. 58 ) เพราะสุขภาพของบริษัทแห่งนี้เริ่มไม่ดี เมื่อดูจากงบการเงินงวด 9 เดือน ปี 2558 ที่พลิกขาดทุนสุทธิ 2.89 ล้านบาท เทียบช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 15.30 ล้านบาท

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,133 วันที่ 21 - 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559