22 สินค้าไทย เฮลั่น! เสียบมะกันแทนจีน

26 ก.ย. 2561 | 08:35 น.
สรท. เปิดโผสินค้า 7 กลุ่ม รวมกว่า 22 รายการ ได้อานิสงส์เพิ่ม หลังสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน ขึ้นภาษีตอบโต้รอบใหม่ ขณะที่ 4 รายการ เสียโอกาสส่งออกไปจีน หลังศักยภาพด้อยกว่าคู่แข่ง จับตา 3 สินค้าไทยไปจีน ยอด 8 เดือนวูบ เทรดวอร์ทุบทางอ้อม ... ทูตพาณิชย์สุมหัวเจาะตลาดใหม่ ต.ค. นี้

จากรัฐบาลสหรัฐอเมริกาประกาศเตรียมขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีน ครอบคลุมสินค้าอุปโภค-บริโภคล็อตใหญ่ 5,745 รายการ มูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในอัตราภาษี 10% มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 24 ก.ย. 2561 ก่อนจะปรับขึ้นเป็น 25% ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2562 ขณะที่ จีนตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ 5,207 รายการ ในอัตรา 5-25% คิดเป็นมูลค่ารวม 6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นั้น

 

[caption id="attachment_323949" align="aligncenter" width="335"] วิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) หรือ สภาผู้ส่งออก วิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) หรือ สภาผู้ส่งออก[/caption]

นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) หรือ สภาผู้ส่งออก เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า จากการคาดการณ์สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน ในรอบแรกที่ขึ้นภาษีตอบโต้กันไปแล้ว มูลค่าฝ่ายละ 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และการขึ้นภาษีตอบโต้กันในรอบใหม่นี้ สรท. คาดการณ์สินค้าไทยที่จะได้รับอานิสงส์ส่งออกไปสหรัฐฯ ทดแทนสินค้าจีนเพิ่ม จะยังอยู่ในกลุ่มเดิมเป็นส่วนใหญ่ ตามที่รับเสียงสะท้อนจากสมาชิกใน 7 กลุ่มสินค้า รวมกว่า 22 รายการ

ประกอบด้วย กลุ่มสินค้าเกษตร เช่น ถั่วแห้ง แผ่นยางสดรมควัน ข้าวสี ยางแท่ง , กลุ่มผัก ผลไม้ สด-แช่เย็น-แช่แข็ง และแปรรูป เช่น กล้วย เม็ดมะม่วงหิมพานต์ มะพร้าว ฝรั่ง มะม่วง มังคุด มะละกอ สับปะรด เป็นต้น , กลุ่มอาหารทะเลแช่แข็งและแปรรูป เช่น ปลาทูน่าบิ๊กอาย ปลาทูน่าท้องแถบ ปลาทูน่าครีบเหลือง สดและแช่แข็ง เนื้อปลาแช่แข็ง , กลุ่มผลิตภัณฑ์จากสัตว์ เช่น น้ำผึ้งธรรมชาติ , กลุ่มอาหารปรุงแต่งและเครื่องดื่ม เช่น อาหารสุนัข-แมว เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ที่ไม่ใช่น้ำผลไม้ , กลุ่มเคมีภัณฑ์และเม็ดพลาสติก เช่น กรดซิตริก , กลุ่มยานยนต์และส่วนประกอบ เช่น เครื่องยนต์สันดาปภายในและยางรถยนต์ เป็นต้น


appP1-2-3075

"ล่าสุด มีเสียงจากสมาชิก สรท. ในกลุ่มสินค้าเกษตร และผัก-ผลไม้แปรรูป ว่า ได้รับการติดต่อจากผู้นำเข้าสหรัฐฯ ให้นำเสนอราคาสินค้า เพื่อนำเข้าไปทดแทนสินค้าจีนที่จะถูกปรับขึ้นภาษี ทั้งนี้ สินค้าไทยในกลุ่มดังกล่าวที่ผ่านมาหลายรายการ สหรัฐฯ นำเข้าจากจีนจากราคาถูกกว่าไทย 10-25% เนื่องจากรัฐบาลจีนให้การอุดหนุนการส่งออก แต่เมื่อสินค้าจีนถูกปรับขึ้นภาษีและแพงขึ้นอีก 10-25% ทำให้สินค้าไทยมีโอกาสส่งออกไปสหรัฐฯ ได้เพิ่ม จากราคาจะใกล้เคียงกัน แต่สินค้าหมวดเกษตรและอาหารของไทยได้รับความเชื่อถือด้านคุณภาพมากกว่า"

ขณะเดียวกัน มีสินค้าไทยจะได้รับประโยชน์จากการส่งออกไปตลาดจีนแทนสินค้าจากสหรัฐฯ ในครั้งนี้ ได้แก่ ผลไม้สด ผลไม้แปรรูป ข้าวโพด และข้าวสาลี ส่วนสินค้าไทยที่จะเสียประโยชน์การส่งออกไปจีนแทนสินค้าสหรัฐฯ เนื่องจากมีคู่แข่งขันมาก และผลิตได้ต้นทุนต่ำกว่าไทย ได้แก่ เนื้อสัตว์ ถั่วเหลือง ฝ้าย เครื่องบินและชิ้นส่วนอุปกรณ์ เป็นต้น

ผู้สื่อข่าวได้ตรวจสอบภาพรวมการส่งออกของไทยไปจีนช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้ มีการส่งออกมูลค่า 20,071 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 6.2% อย่างไรก็ดี จากข้อมูลพบมีหลายสินค้าในกลุ่มวัตถุดิบที่ไทยส่งออกไปจีน เพื่อผลิตเป็นสินค้าสำเร็จรูปแล้วส่งออกต่อไปตลาดสหรัฐฯ หรือ ตลาดอื่นที่มีมูลค่าลดลง อาทิ ยางพารา (-32%) ชิ้นส่วนรถยนต์ (-4%) แผงวงจรไฟฟ้า (-6%) เป็นต้น


local01

ทั้งนี้ แหล่งข่าวจากผู้ส่งออก ระบุ การส่งออกสินค้าวัตถุดิบไปจีนที่ลดลงในกลุ่มดังกล่าว ส่วนหนึ่งเป็นผลจากสงครามการค้า ทำให้สินค้าหลายรายการของจีนส่งออกไปสหรัฐฯ ได้ลดลง จึงมีการนำเข้าวัตถุดิบลดลงตามไปด้วย แต่ภาพรวมไม่กระทบมาก เพราะไทยได้ตลาดอื่นมาช่วย

นางสาวพิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการ สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เผยว่า ช่วง 8 เดือนแรกปีนี้ ไทยส่งออกแล้วมูลค่า 1.69 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยการส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ ขยายตัวที่ 5.5% และจีนขยายตัว 6.3% ในส่วนของสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน ยอมรับว่า ส่วนหนึ่งมีผลกระทบต่อการส่งออกของไทยบางรายการในช่วงที่ผ่านมา โดยตลาดสหรัฐฯ ในสินค้าเหล็ก อะลูมิเนียม และแผงโซลาร์เซลล์ ส่วนไปจีน ได้แก่ กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งในเดือน ต.ค. นี้ จะมีการประชุมทูตพาณิชย์ทั่วโลกจะได้มีการหารือกันถึงสถานการณ์ส่งออก รวมถึงหาตลาดใหม่ ๆ เพื่อทดแทนตลาดเดิม เฉพาะอย่างยิ่งตลาดเอเชียและอาเซียน ที่ยังขยายตัวได้ดี


……………….
หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 38 ฉบับที่ 3,403 วันที่ 23-26 ก.ย. 2561 หน้า 01-02

ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
"AECS" จับตาสงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ เฟดขึ้นดอกเบี้ย ให้กรอบดัชนี 1,730-1,770 จุด
ตลาดหุ้นไทยยังแกว่งตัวในแดนบวกต่อ แรงหนุนสงครามการค้าผ่อนคลาย-เลือกตั้ง


เพิ่มเพื่อน
ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว